ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ผ่านมา (Backward-looking)

จากรายงานผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศสำหรับไตรมาสที่สี่ที่เผยแพร่ล่วงหน้าเมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้ว ตัวเลขการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งเป็นตัวเลขที่สะท้อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจถึงสองในสามของสหรัฐฯลดลง 0.2% ในเดือนธันวาคมปีที่แล้ว จากเดือนพฤศจิกายนที่ลดลง 0.1% ส่งผลให้เศรษฐกิจขยายตัวในอัตรา 2.9% ต่อปีในไตรมาสที่สี่ จาก 3.2% ในไตรมาสที่สาม สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 2.6%

โดยการใช้จ่ายด้านบริการอย่าง ค่าที่อยู่อาศัย สาธารณูปโภค การเดินทางทางอากาศ การดูแลสุขภาพ รวมถึงการสันทนาการเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนที่แล้ว ในขณะที่การบริโภคตามร้านอาหารหรือภัตตาคารลดลง

ทั้งนี้ ตัวเลขสัญญาซื้อขายบ้านมือสองของสหรัฐฯในเดือนธันวาคม ได้เพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือน คาดว่าเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่เริ่มปรับลดลง โดยสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติ (NAR) ได้ให้ข้อมูลเมื่อวันศุกร์ว่าดัชนีการขายบ้านที่รอดำเนินการ อิงตามสัญญาที่ลงนามเพิ่มขึ้น 2.5% ในเดือนที่แล้ว ซึ่งนับเป็นการเพิ่มขึ้นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมปีก่อน

ในขณะที่ อัตราการออมของชาวสหรัฐฯเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่สามมาอยู่ที่ 3.4% ในเดือนธันวาคม ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบเจ็ดเดือน ตามข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ที่เผยแพร่เมื่อวันศุกร์ โดยรายงานระบุว่า การเพิ่มขึ้นในเดือนธันวาคมของอัตราการออม จาก 2.9% ในเดือนพฤศจิกายนถือเป็นการเพิ่มขึ้นครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2564

ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯแบบคาดการณ์สภาวการณ์อนาคต (Forward-looking)

หลังจากเข้าสู่ปีใหม่ 2566 ผู้บริโภคสหรัฐฯได้มีมุมมองต่อเศรษฐกิจโดยรวมในแง่ดีมากที่สุดในรอบ 9 เดือน โดยได้รับแรงหนุนจากรายได้ที่เริ่มมั่นคงและอัตราเงินเฟ้อที่ผ่อนคลาย แม้ว่าส่วนใหญ่จะยังคงกังวลว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยอาจฉุดรั้งเศรษฐกิจในปีนี้

โดยจากการสำรวจผู้บริโภคของมหาวิทยาลัยมิชิแกนที่เปิดเผยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะสั้นสำหรับ 12 เดือนข้างหน้า ลดลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 มาอยู่ที่ 3.9% ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ 5 -10 ปีทรงตัวที่ 2.9% ซึ่งทั้งสองตัวเลขได้มีการปรับลดลงจากกลางปี 2565 หลังจากที่ราคาผู้บริโภคได้พุ่งขึ้นมากกว่า 9% ซึ่งเป็นอัตราเพิ่มขึ้นเร็วที่สุดนับตั้งแต่ทศวรรษ 1980

ทางด้านดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ได้เพิ่มขึ้นจาก 59.7 ในเดือนธันวาคม มาอยู่ที่ 64.9 หรือเกือบ 9% ในเดือนมกราคม ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2565 และเป็นตัวเลขที่ดีกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 64.6

อย่างไรก็ตาม ก่อนการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯในสัปดาห์นี้ ดอลลาร์ได้ปรับขึ้นลงเล็กน้อยในวันจันทร์ แต่ยังคงห่างจากระดับต่ำสุดในรอบ 8 เดือน โดยได้รับแรงกดดันจากความคาดหวังว่าเฟดอาจจะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วๆนี้ ซึ่งจากตัวเลขผลสำรวจอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ก็ได้ส่งผลให้ตลาดและนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าเฟดน่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยพื้นฐาน 25 จุด ในขณะที่ ECB และ BoE มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้น 50 จุด จึงอาจส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯมาอยู่ที่ 4.75% ECB มาอยู่ที่ 3.00% และ BoE มาอยู่ที่ 4.00% ซึ่งอาจส่งผลให้เงินยูโรและเงินปอนด์ปรับขึ้นมากกว่าดอลลาร์ในระยะสั้น แต่โดยรวมจะยังคงอ่อนค่ากว่าดอลลาร์เนื่องจากผลตอบแทนของสหรัฐฯที่ยังคงสูงกว่าคู่สกุลเงินทั้งสอง

ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (5H) 

แนวต้านสำคัญ : 101.811, 101.844, 101.896

แนวรับสำคัญ : 101.707, 101.674, 101.622      

5H Outlook

1H Outlook

ที่มา: Investing.com                                                              

Buy/Long 1 หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 101.637 - 101.707 แต่ไม่สามารถเบรกแนวรับที่ 101.707 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 101.815 และ SL ที่ประมาณ 101.617 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Buy/Long 2 หากสามารถเบรกแนวต้านที่ช่วงราคา 101.811 - 101.881 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 101.896 และ SL ที่ประมาณ 101.707 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้                 

Sell/Short 1 หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 101.811 - 101.881 แต่ไม่สามารถเบรกแนวต้านที่ 101.811ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 101.683 และ SL ที่ประมาณ 101.901 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Sell/Short 2 หากสามารถเบรกแนวรับที่ช่วงราคา 101.637- 101.707 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 101.622 และ SL ที่ประมาณ 101.811 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Pivot Points Jan 30, 2023 11:13AM GMT+7

Sources: Investing 1, Investing 2