ทิศทางราคาน้ำมันดิบช่วงนี้

สัญญาซื้อขายน้ำมันล่วงหน้าทรงตัวในวันพุธ จากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่แข็งค่าขึ้น และความกังวลจากนักลงทุนถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากสหรัฐฯที่อาจทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว และอาจส่งผลให้อุปสงค์เชื้อเพลิงลดลง

ทั้งนี้ การขาดทุนของน้ำมันดิบยังถูกจำกัด เนื่องจากตลาดได้คาดการณ์และปรับมุมมองการใช้เชื้อเพลิงจากข้อมูลของสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ที่คาดการณ์ว่าอุปสงค์น้ำมันทั่วโลกมีแนวโน้มจะเติบโตสูงขึ้น แม้ล่าสุด ปริมาณคลังน้ำมันดิบของสหรัฐฯจะพุ่งขึ้นสูงมาก

โดยจากรายงานสถานะปิโตรเลียมรายสัปดาห์ ที่เปิดเผยโดยสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานหรือ EIA ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังของสหรัฐฯเพิ่มขึ้นสูงถึง 16.283 ล้านบาร์เรลในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 10 ก.พ. เป็นสัปดาห์ที่แปดติดต่อกัน และมากกว่าที่คาดการณ์ไว้เกือบ 10 เท่า และล่าสุด ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังเชิงพาณิชย์ของสหรัฐได้เพิ่มขึ้นเป็น 50.75 ล้านบาร์เรล

ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นดังกล่าวเกิดก่อนที่โรงกลั่นน้ำมันส่วนใหญ่ในสหรัฐฯ จะเริ่มเข้าสู่ช่วงการซ่อมบำรุงตามฤดูกาล จึงส่งผลให้จะมีการแปรรูปน้ำมันดิบน้อยลงในช่วงนี้ ทำให้โรงกลั่นสหรัฐฯเร่งผลิตน้ำมันดิบในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 10 กุมภาพันธ์ เฉลี่ยอยู่ที่ 15.0 ล้านบาร์เรลต่อวัน แต่น้อยกว่าค่าเฉลี่ยของสัปดาห์ที่แล้ว 383,000 บาร์เรลต่อวัน ส่งผลให้ที่ผ่านมา การทำงานของโรงกลั่นได้อยู่ที่ 86.5% ของกำลังการผลิตในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งโดยปกติแล้ว กำลังการผลิตในช่วงเวลานี้ของปีจะอยู่ที่ประมาณ 90% หรือมากกว่านั้น

ด้วยเหตุนี้ ราคาน้ำมันดิบปรับจึงมีการปรับขึ้นลงเพียงเล็กน้อยในวันนี้ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ร่วงลงกว่า 2% จากการเปิดเผยข้อมูลปริมาณน้ำมันดิบคงคลังที่รายงานโดย EIA ทำให้นักวิเคราะห์คาดว่าราคาน้ำมันดิบอาจจะยังคงถูกกดดัน แต่คาดว่าแนวรับของ WTI น่าจะอยู่ที่ช่วงกลาง 70 ดอลลาร์ จากการที่นักลงทุนต่างรอเข้าซื้อ (Dip buying) เมื่อราคาร่วงลงถึงจุดหนึ่ง

ทางด้านสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ที่ซื้อขายในลอนดอนสำหรับการส่งมอบในเดือนมีนาคม มีการปรับลดลงเพียงเล็กน้อย 20 เซนต์ หรือ 0.2% ที่ 85.38 ดอลลาร์เท่านั้น ซึ่งนักลงทุนในตลาดกระทิงคาดหวังว่า ความต้องการน้ำมันดิบระยะยาวที่คาดการณ์ไว้โดยสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศในกรุงปารีส หรือ IEA จะเพิ่มขึ้นอีก 500,000 บาร์เรลต่อวัน มาอยู่ที่เกือบ 102 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดย IEA ยังเตือนถึงกลุ่มพันธมิตร OPEC+ และผู้ผลิตน้ำมันรายอื่น ๆ รวมถึงรัสเซียที่อาจพยายามลดกำลังการผลิตเพื่อรักษาระดับราคาน้ำมันดิบในปี 2566

อย่างไรก็ดี IEA กล่าวว่า ความต้องการจากจีนอาจจะสามารถชดเชยการเติบโตของอุปสงค์น้ำมันในปีนี้ได้เกือบครึ่ง หลังจากการผ่อนคลายการควบคุม COVID-19 และคาดว่าปริมาณการผลิตน้ำมันดิบจากรัสเซียภายในสิ้นไตรมาสแรกจะลดลงอีกประมาณ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ยุโรปปิดกั้นการขนส่งและนำเข้าทางทะเล และการกำหนดเพดานราคาน้ำมันดิบของกลุ่ม G7

ทั้งนี้ ปัจจัยที่กดดันราคาน้ำมันดิบในช่วงนี้ยังคงมาจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ ซึ่งทำให้อุปสงค์น้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ ที่มีราคาเป็นสกุลเงินอื่นชะลอตัวลง โดยก่อนหน้านี้ ดัชนีดอลลาร์ได้แตะระดับต่ำสุดในรอบ 10 เดือนที่ 100.68 เมื่อวันที่ 2 ก.พ. แต่ขณะนี้กลับดีดตัวขึ้นมาอยู่ใกล้ระดับ 104 แตะระดับสูงสุดในรอบหกสัปดาห์ ซึ่งเป็นผลมาจากข้อมูลเงินเฟ้อที่เปิดเผยเมื่อวันอังคารที่ยังคงสูง ทำให้เกิดความกังวลว่าเฟดอาจจะกลับมาคุมเข้มอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง หลังจากที่ดูเหมือนจะเริ่มผ่อนคลายลงเล็กน้อยก่อนหน้านี้

ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (5H)

แนวต้านสำคัญ : 79.00, 79.27, 79.71

แนวรับสำคัญ : 78.12, 77.85, 77.41

5H Outlook

ที่มา: Investing.com     

Buy/Long 1 หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 78.02 - 78.12 แต่ไม่สามารถเบรกแนวรับที่ 78.12 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 79.12 และ SL ที่ประมาณ 77.97 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Buy/Long 2 หากสามารถเบรกแนวต้านที่ช่วงราคา 79.00 - 79.10 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 79.71 และ SL ที่ประมาณ 78.07 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้                 

Sell/Short 1 หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 79.00 - 79.10 แต่ไม่สามารถเบรกแนวต้านที่ 79.00 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 77.97 และ SL ที่ประมาณ 79.15 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Sell/Short 2 หากสามารถเบรกแนวรับที่ช่วงราคา 78.02 - 78.12 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 77.41 และ SL ที่ประมาณ 79.05 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Pivot Points Feb 16, 2023 10:51AM GMT+7

Sources: Investing 1, Investing 2