ภาพรวมตลาดหุ้นสหรัฐฯล่าสุด

ฟิวเจอร์สหุ้นสหรัฐฯซื้อขายลดลงในช่วงค่ำของวันอาทิตย์ก่อนวันหยุดนักขัตฤกษ์ของสหรัฐฯในวันจันทร์ หลังจากค่าเฉลี่ยมาตรฐาน (Benchmark) ล่าสุดหลังสิ้นสุดสัปดาห์ก่อนออกมาค่อนข้างหลากหลาย จากข้อมูลเงินเฟ้อที่ร้อนแรงกว่าที่คาดไว้ รวมถึงข้อมูลผลประกอบการขององค์กรและบริษัทต่างๆที่รายงานออกมาอย่างต่อเนื่อง

โดยก่อนหน้านี้ ตามรายงานของ Retiniv IBES ดัชนี S&P 500 มีการปรับขึ้นอยู่บ้างแม้ผลประกอบการในไตรมาสที่สี่ของบริษัทใน S&P 500  มีแนวโน้มที่จะรายงานผลกำไรที่ลดลง 2.8% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยล่าสุด ดัชนี S&P 500 ได้บวกเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 6.5% ในปี 2566 นี้

ทั้งนี้ รายงานผลประกอบการจากผู้ค้าปลีกรายใหญ่ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ที่จะแสดงให้เห็นถึงข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการใช้จ่ายของผู้บริโภคและการลดลงของผลประกอบการบริษัทอันเป็นผลจากภาวะเงินเฟ้อ จะเป็นหนึ่งในตัวกำหนดทิศทางของตลาดหุ้นสหรัฐฯในระยะนี้ เนื่องจากนักลงทุนบางส่วนมีความมั่นใจมากขึ้นว่าเศรษฐกิจอาจจะสามารถหลีกเลี่ยงภาวะถดถอยอย่างรุนแรงได้ แม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯจะยังคงเดินหน้าขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อต่อไปก็ตาม

ล่าสุด Walmart (NYSE:WMT) และ Home Depot (NYSE:HD) มีกำหนดรายงานผลประกอบการในสัปดาห์นี้ พร้อมกับผู้ค้าปลีกรายใหญ่อื่นๆ เช่น Best Buy และ Lowe's (NYSE: LOW) ที่จะมีกำหนดรายงานในสัปดาห์ถัดไป รวมถึงบริษัทในกลุ่มธุรกิจและอุตสหกรรมอื่นๆ ที่มีกำหนดรายงานในช่วงนี้ ได้แก่ Nvidia (NASDAQ:NVDA), Moderna (NASDAQ:MRNA) และ eBay (NASDAQ:EBAY)

อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมา หุ้นค้าปลีกมีผลตอบแทนที่ค่อนข้างหลากหลาย โดยกองทุน ETF SPDR S&P Retail (NYSE:XRT) ซึ่งให้น้ำหนักกับบริษัทขนาดเล็กและขนาดใหญ่เท่าๆ กัน ได้เพิ่มขึ้นถึง 17% ในปีนี้ แม้องค์กรกลุ่มค้าปลีกใหญ่บางแห่งจะมีผลดำเนินงานโดยรวมที่ไม่ค่อยสวยงามนัก

ทางด้านราคานำเข้าของสหรัฐฯมีการปรับลดลงเป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกันในเดือนมกราคม ท่ามกลางต้นทุนผลิตภัณฑ์พลังงานที่ลดลง ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อในราคานำเข้าแบบรายปีเพิ่มขึ้นน้อยที่สุดในรอบสองปี โดยราคานำเข้าลดลง 0.2% ในเดือนที่แล้ว หลังจากลดลง 0.1% ในเดือนธันวาคม ซึ่งการลดลงของราคานำเข้าที่ไม่รวมภาษีศุลกากรนี้ก็เป็นไปตามการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

ทั้งนี้ จากสัญญาณที่แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจที่รายงานในสัปดาห์ที่ผ่านมา อย่างข้อมูลตัวเลขยอดค้าปลีกของสหรัฐฯที่เพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบเกือบสองปีในเดือนมกราคม และข้อมูลการเติบโตของการจ้างงาน ก็ส่งผลให้นักวิเคราะห์บางส่วนคาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากเฟดอีกครั้งเร็วๆนี้

และจากรายงานจาก Conference Board เมื่อวันศุกร์ ที่รายงานถึงดัชนีเศรษฐกิจหลักต่างๆ ซึ่งเป็นมาตรวัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจในอนาคต ที่ได้ลดลง 0.3% ในเดือนมกราคม หลังจากลดลง 0.8% ในเดือนธันวาคม ซึ่งโดยรวมมีการปรับลดลงถึง 3.6% ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา ก็ได้สร้างความกังวลให้กับตลาดบางส่วนว่าเศรษฐกิจอาจจะยังคงตกอยู่ในความเสี่ยงจากภาวะถดถอยในปีนี้อยู่

อย่างไรก็ดี ในสัปดาห์นี้ นักลงทุนจะมุ่งเน้นและจับตาไปที่การประกาศรายงานการประชุมครั้งล่าสุดของเฟดในวันพุธที่จะถึง รวมถึงข้อมูลตัวเลขเศรษฐกิจ PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ ยอดขายบ้านสร้างเสร็จ รายงานการประชุม FOMC ข้อมูล GDP และดัชนีราคาด้านการบริโภคและการใช้จ่ายส่วนบุคคล หรือ PCE รวมถึงผลสำรวจความเชื่อมั่นและความคาดหวังของผู้บริโภค ที่คาดว่าน่าจะไม่ส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯโดยรวมมากนัก

ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (5H)

แนวต้านสำคัญ : 4078.4, 4081.1, 4085.4

แนวรับสำคัญ : 4069.8, 4067.1, 4062.8          

5H Outlook

1H Outlook

ที่มา: Investing.com                    

Buy/Long 1 หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 4064.8 - 4069.8 แต่ไม่สามารถเบรกแนวรับที่ 4069.8 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 4081.5 และ SL ที่ประมาณ 4060.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Buy/Long 2 หากสามารถเบรกแนวต้านที่ช่วงราคา 4078.4 - 4085.4 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 4092.8 และ SL ที่ประมาณ 4070.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้                 

Sell/Short 1 หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 4078.4 - 4085.4 แต่ไม่สามารถเบรกแนวต้านที่ 4078.4 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 4069.8 และ SL ที่ประมาณ 4089.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Sell/Short 2 หากสามารถเบรกแนวรับที่ช่วงราคา 4064.8 - 4069.8 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 4058.0 และ SL ที่ประมาณ 4083.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Pivot Points Feb 20, 2023 11:15AM GMT+7

Sources: Investing 1, Investing 2