ตลาดหุ้นยุโรปคาดว่ายังทรงตัว

ตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ปรับตัวลดลงในวันพุธ แต่ยังถูกจำกัดด้วยข้อมูลการผลิตภาคอุตสาหกรรมของเยอรมันที่แข็งแกร่งเกินคาด โดยยังคงได้รับแรงกดดันจากคำแถลงของเฟดล่าสุด ถึงการเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอัตราที่คาดว่าจะอยู่ที่ขั้นต่ำ 25 จุด ถึงสูงสุดที่ 50 จุด แต่ยังคงอยู่ในช่วงการพิจารณา ก่อนการประชุมนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า

ทางด้านสำนักงานสถิติของรัฐบาลกลางของเยอรมนีเปิดเผยเมื่อวันพุธว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมของเยอรมนีเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้อย่างมากในเดือนมกราคม โดยเพิ่มขึ้น 3.5% จากเดือนก่อน ปรับตัวดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 1.4% โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการเติบโตในการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงเคมีภัณฑ์ ในขณะที่การผลิตยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ รวมถึงการผลิตเภสัชภัณฑ์ปรับตัวสวนทางลง ในขณะเดียวกัน ยอดค้าปลีกของเยอรมนีมีการปรับลดลงอย่างไม่คาดคิดในเดือนมกราคมที่ 0.3% ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 2.0% บ่งชี้ถึงแรงกดดันต่อผู้บริโภคชาวเยอรมันที่ยังคงสูง

ล่าสุด สำนักงานสถิติยุโรปเปิดเผยเมื่อวันอังคารว่า ยูโรโซนไม่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 ของปี 2565 ซึ่งอยู่ที่ 0.0% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 และ1.8% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้า ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 0.1% และ 1.9% โดยการเติบโตทางเศรษฐกิจของยูโรโซนได้รับแรงหนุนมาจากการใช้จ่ายสาธารณะ การเปลี่ยนแปลงในสินค้าคงคลัง และการค้าสุทธิ และได้รับแรงกดดันจากการใช้จ่ายภาคครัวเรือนและการสะสมทุนถาวรเบื้องต้น (GFCF) ส่งผลให้มีการปรับตัวเลขคาดการณ์ทั้งตัวเลขการเติบโตจีดีพีและการเติบโตของการจ้างงานลงเล็กน้อย แม้ว่าตัวเลขในภาคแรงงานจะยังคงแข็งแกร่งอยู่มากก็ตาม

ทั้งนี้ จำนวนผู้มีงานทำล่าสุดทั้งหมดอยู่ที่ 165 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2562 ก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 ถึง 3.6 ล้านคน เน้นย้ำถึงความตึงตัวของตลาดแรงงาน และคาดว่าจะส่งสัญญาณให้ ECB เดินหน้าต่อสู้ให้อัตราเงินเฟ้อกลับมาอยู่ที่ 2% จากตัวเลขสองหลักเมื่อฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้ว

โดยจากข้อมูลตัวเลขในภาคแรงงาน ได้ส่งสัญญาณว่ายูโรโซนอาจจะสามารถหลีกเลี่ยงภาวะถดถอยที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ได้อย่างหวุดหวิด จากที่ก่อนหน้านี้คาดว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะช่วยเพิ่มอัตราการว่างงาน ทำให้ตลาดแรงงานเย็นลง และชะลอการปรับขึ้นของค่าจ้าง แต่ทว่าบริษัทต่างๆ กลับประสบปัญหาในการจ้างพนักงานใหม่หลังโรคระบาด และยังไม่มีทีท่าที่จะปลดพนักงานเก่าออก แม้ว่าจะอยู่ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวก็ตาม

ทางด้านนโยบายการคลัง คณะกรรมาธิการยุโรปได้กล่าวเมื่อวันพุธว่า เนื่องจากโรคระบาดที่ได้ยุติลง และราคาพลังงานที่กำลังลดลง ทำให้รัฐบาลไม่จำเป็นต้องใช้มาตรการสนับสนุนทางการคลังในวงกว้างสำหรับบริษัทและครัวเรือนอีกต่อไป ส่งผลให้สหภาพยุโรปจะกลับมาสนับสนุนเป้าหมายที่เข้มงวดทางการคลังสำหรับปี 2567 อีกครั้ง เพื่อปรับลดให้หนี้สาธารณะอยู่ในระดับที่เหมาะสม และนโยบายมีความยืดหยุ่นเหมาะสมกับทุกประเทศสมาชิก ที่มีระดับหนี้แตกต่างกันจากภาวะช็อกทางเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาด และจากการรุกรานยูเครนของรัสเซีย รวมถึงเพื่อไม่ให้ขัดต่อแผนการดำเนินงานของธนาคารกลางยุโรปในการลดอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งนอกจากตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งในยูโรโซนแล้ว หากยังคงมีการกระตุ้นทางการคลังอย่างต่อเนื่องจะทำให้อัตราเงินเฟ้อเติบโตมากกว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยนโยบายดังกล่าวคาดว่าจะเริ่มบังคับใช้ในปี 2567 สำหรับประเทศที่มีการใช้งบประมาณเกินกรอบเป้าหมายของสหภาพยุโรปที่ไม่เกิน 3% ของ GDP

ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (5H) 

CFD EU50 (Euro Stoxx 50 Futures - Mar 23)

แนวต้านสำคัญ : 4298, 4301, 4307

แนวรับสำคัญ : 4286, 4283, 4277                     

5H Outlook        

1H Outlook    

ที่มา: Investing.com                                     

Buy/Long 1 หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 4283 – 4286 แต่ไม่สามารถเบรกแนวรับที่ 4286 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 4302 และ SL ที่ประมาณ 4281 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Buy/Long 2 หากสามารถเบรกแนวต้านที่ช่วงราคา 4298 – 4301 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 4307 และ SL ที่ประมาณ 4285 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้                 

Sell/Short 1 หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 4298 – 4301 แต่ไม่สามารถเบรกแนวต้านที่ 4298 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 4286 และ SL ที่ประมาณ 4303 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Sell/Short 2 หากสามารถเบรกแนวรับที่ช่วงราคา 4283 – 4286 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 4277 และ SL ที่ประมาณ 4300 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Pivot Points Mar 09, 2023 10:44AM GMT+7

Sources: Investing 1, Investing 2