บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐฯ วันที่ 13 มีนาคม 2566

บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐฯ วันที่ 13 มีนาคม 2566
Create at 1 year ago (Mar 13, 2023 13:30)

SVB กับตลาดหุ้นสหรัฐฯ

ตลาดหุ้นสหรัฐฯล่าสุด ได้รับผลกระทบจากการล้มของ SVB Financial Group ธนาคารผู้รับเงินฝากและให้สินเชื่อบริษัทสตาร์ทอัพจำนวนมาก อย่างกะทันหันเมื่อวันศุกร์ สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อตลาดทั่วโลก นับเป็นเป็นความล้มเหลวที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์ธนาคารของสหรัฐฯ นับตั้งแต่วิกฤตการเงินปี 2551 ส่งผลให้ผู้เข้าร่วมตลาดกังวลว่าจะเกิดการหยุดชะงักในระบบสถาบันการเงิน และสร้างผลกระทบเป็นโดมิโน่ในวงกว้าง

ธนาคารแห่งซิลิคอนแวลลีย์ (SVB) ซึ่งเป็นฐานหลักสำหรับเศรษฐกิจสตาร์ทอัพ ได้กำเนิดมาจากพฤติกรรมการเสาะหาเงินทุนราคาถูกที่มีมานานหลายทศวรรษ โดยมีความเสี่ยงเฉพาะตัวจากเงินฝากที่ไม่มีหลักประกันจำนวนมาก และผลขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง ที่ทำให้ธนาคารได้รับความเสี่ยงเป็นพิเศษ จึงส่งผลให้ขณะนี้ Federal Deposit Insurance Corp (FDIC) หรือหน่วยงานรับประกันเงินฝากสหรัฐฯ เริ่มเฝ้าระวังและจับตาดูธนาคารในภูมิภาคอื่น ๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันจากปัจจัยดังกล่าวที่มีส่วนทำให้ SVB ล้มอย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ หนึ่งในเหตุการณ์ที่คาดว่าได้นำไปสู่ความล้มเหลวของ SVB มาจากการขายพันธบัตรรัฐบาลฯเพื่อล็อคต้นทุนทางการเงิน และเพิ่มสภาพคล่องอันเนื่องจากการคาดการณ์ของอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ซึ่งที่ผ่านมา หลายฝ่ายคาดว่าเป็นปัจจัยที่ทำให้การเข้าถึงเงินทุนราคาถูกมีจำกัด และสร้างความเปราะบางในระบบเศรษฐกิจบางส่วน ส่งผลให้เกิดการขาดทุนถึง 1.8 พันล้านดอลลาร์ รวมทั้ง SVB ซึ่งทำธุรกิจในฐานะธนาคารแห่งซิลิคอนแวลลีย์ มีเงินฝากที่ไม่มีหลักประกัน ณ สิ้นปี 2565 มากถึง 89% ของมูลค่าเงินฝากจำนวน 175,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งตามกฎ FDIC มีการรับประกันเงินฝากที่ 250,000 ดอลลาร์

ล่าสุด นักลงทุนและเหล่าลูกค้าของธนาคารกำลังเผชิญกับความกังวลว่า SVB จะหาผู้ซื้อได้เร็วๆนี้หรือไม่  ซึ่งหากเทียบในช่วงวิกฤตการเงินปี 2551 Washington Mutual พบผู้ซื้อทันที แต่สำหรับ IndyMac ในปี 2009 ใช้เวลาในการหาผู้ซื้อประมาณแปดเดือน

ทั้งนี้ จากเหตุการณ์ดังกล่าว คาดว่าจะส่งกระทบต่อบริษัทต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น บริษัทที่พึ่งพาธนาคารในการจ่ายค่าจ้างพนักงาน และผู้ผลิตวิดีโอเกม Roblox Corp และผู้ผลิตอุปกรณ์สตรีมมิ่ง Roku (NASDAQ:ROKU) Inc ที่มีเงินฝากหลายร้อยล้านดอลลาร์ที่ธนาคาร ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีหลักประกัน และส่งผลให้หุ้นของบริษัทร่วงลง 10%

ล่าสุด ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ว่า จะเข้ามาจัดการกับวิกฤตการธนาคารในเช้าวันจันทร์ ซึ่งในขณะเดียวกัน เพื่อพยุงความเชื่อมั่นในระบบธนาคาร โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ร่วมทุนและชุมชนสตาร์ทอัพ หน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ อย่างธนาคารกลางสหรัฐฯ และ FDIC กำลังพิจารณาที่จะจัดตั้งกองทุนที่จะช่วยให้หน่วยงานกำกับดูแลสามารถรับประกันเงินฝากจำนวนมากในธนาคารที่อาจประสบปัญหาหลังจากการล่มสลายของ Silicon Valley Bank ได้ โดยจะเปิดช่องทางและเครื่องมือใหม่ๆเพื่อให้ธนาคารต่างๆสามารถเข้าถึงกองทุนฉุกเฉิน รวมถึงธนาคารกลางสหรัฐฯ จะช่วยให้ธนาคารสามารถกู้ยืมเงินจากธนาคารกลางได้ง่ายขึ้น และให้ความเชื่อมั่นว่าลูกค้าของธนาคาร SVB จะสามารถเข้าถึงเงินฝากทั้งหมดได้ตั้งแต่วันจันทร์

อย่างไรก็ดี หน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ ให้ความเห็นว่า ปัจจุบันพบสัญญาณเพียงเล็กน้อยที่บ่งบอกถึงวิกฤตการเงินแบบปี 2008 ซึ่งการล้มลงของสถาบันการเงินเพียงแห่งเดียวได้ก่อให้เกิดวิกฤตในระบบการเงินในวงกว้าง โดยเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังของสหรัฐฯ และทำเนียบขาวต่างก็ตั้งข้อสังเกตว่าระบบธนาคารของสหรัฐฯ ยังคงมีความยืดหยุ่นมากกว่าที่เคยเป็นในวิกฤตการเงินในปี 2551 รวมถึงผู้เชี่ยวชาญหลายคนก็ให้ความเห็นตรงกันว่า ผลกระทบที่ส่งต่อแรงกระเพื่อมไปยังภาคธนาคารและสถาบันการเงินที่เหลืออาจมีจำกัด เนื่องจากสถาบันการเงินขนาดใหญ่มีพอร์ตการลงทุนและลูกค้าเงินฝากที่หลากหลายมากกว่า SVB

ทั้งนี้ การประกาศเข้าช่วยเหลือและมาตรการจากหน่วยงานกำกับดูแล ในการจำกัดผลกระทบของ Silicon Valley Bank ล่าสุด ได้ส่งผลให้ฟิวเจอร์สหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวพุ่งขึ้นในการซื้อขายในเอเชียเซสชั่นเมื่อเช้าวันจันทร์ โดยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า S&P 500 ของสหรัฐฯ พุ่งขึ้น 1.2% และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า Nasdaq พุ่งขึ้น 1.3% ในขณะที่นักลงทุนเดิมพันว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯในอนาคตอาจมีความรุนแรงน้อยลง

อย่างไรก็ตาม ความล้มเหลวของ Silicon Valley Bank ครั้งนี้ มีแนวโน้มที่จะเพิ่มแรงกดดันให้บริษัทต่างๆ ในการทำกำไรในอนาคต และอาจสิ้นสุดยุคที่บริษัทเทคโนโลยีขนาดเล็กหรือบริษัทสตาร์ทอัพจะสามารถต่อสายป่าน และยอมทนต่อการขาดทุนเป็นเวลาหลายปีเพื่อขยายส่วนแบ่งการตลาด จึงอาจส่งผลให้เกิดการหยุดชะงักทางเทคโนโลยี หรือซัพพลายเชนทางเทคโนโลยี รวมถึงลดการแข่งขัน และเพิ่มต้นทุนการดำเนินงานและคงที่ในกิจการเป็นวงกว้างได้ในอนาคตระยะยาว

ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (5H) CFD US30 DJIA

แนวต้านสำคัญ : 32354.7, 32420.7, 32527.7

แนวรับสำคัญ : 32140.7, 32074.7, 31967.7    

5H Outlook

วิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐฯ 5H

1H Outlook

วิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐฯ 1Hที่มา: Investing.com                                                                 

Buy/Long 1 หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 32130.7 - 32140.7 แต่ไม่สามารถเบรกแนวรับที่ 32140.7 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 32400.0 และ SL ที่ประมาณ 32125.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Buy/Long 2 หากสามารถเบรกแนวต้านที่ช่วงราคา 32354.7 - 32364.7 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 32470.0 และ SL ที่ประมาณ 32135.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้                 

Sell/Short 1 หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 32354.7 - 32364.7 แต่ไม่สามารถเบรกแนวต้านที่ 32354.7 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 32140.0 และ SL ที่ประมาณ 32369.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Sell/Short 2 หากสามารถเบรกแนวรับที่ช่วงราคา 32130.7 - 32140.7 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 32010.0 และ SL ที่ประมาณ 32357.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Pivot Points Mar 13, 2023 12:48PM GMT+7

Name S3 S2 S1 Pivot Points R1 R2 R3
Classic 31862.4 31967.7 32142.4 32247.7 32422.4 32527.7 32702.4
Fibonacci 31967.7 32074.7 32140.7 32247.7 32354.7 32420.7 32527.7
Camarilla 32240.0 32265.7 32291.3 32247.7 32342.7 32368.3 32394.0
Woodie's 31897.0 31985.0 32177.0 32265.0 32457.0 32545.0 32737.0
DeMark's - - 32195.0 32274.0 32475.0 - -

Sources: Investing 1Investing 2, Investing 3

______________________________
อัพเกรดความรู้เพิ่มเติม: Blog
รู้เท่าทันข่าว&สถานการณ์โลก: News
บทวิเคราะห์เชิงเทคนิคขั้นสูง: Analysis
Tags:

Forex News

ARTICLES