ตลาดเอเชียมีแนวโน้มถูกกดดันในช่วงนี้

ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ร่วงลงในวันศุกร์ หลังจากที่ถ้อยคำแถลงจากหน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯที่พยายามสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนถึงเสถียรภาพของระบบธนาคาร ล้มเหลวในการช่วยบรรเทาความกังวลวิกฤตธนาคาร รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวได้บั่นทอนความเชื่อมั่น ส่งผลให้หุ้นกลุ่มธนาคารของสหรัฐฯ ถูกเทขายอีกรอบ

ทั้งนี้ ดัชนี Shanghai Shenzhen CSI 300 และ Shanghai Composite ของจีนร่วงลง 0.3% และ 0.5% ตามลำดับ เนื่องจากความเชื่อมั่นที่มีต่อหุ้นอสังหาริมทรัพย์หลังจากแผนการปรับโครงสร้างหนี้ของ China Evergrande Group (HK:3333) ล้มเหลวในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน

ดัชนี Hang Seng ของฮ่องกงลดลง 0.2% จากการขาดทุนในหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ แต่ได้รับแรงบวก 3% ในสัปดาห์นี้จากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ส่งผลให้ Hang Seng ทำผลงานได้ดีกว่าดัชนีอื่นในภูมิภาค

ทางด้าน KOSPI ของเกาหลีใต้ลดลง 0.6% ในขณะที่ดัชนี ASX 200 ของออสเตรเลียลดลง 0.2% ทั้งนี้ หุ้นอินเดียปิดตลาดปรับตัวลง เนื่องจากผลขาดทุนในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โลหะ และกิจการภาครัฐ โดยดัชนี Nifty 50 ร่วงลง 0.77% แตะระดับต่ำสุดใหม่ในรอบ 3 เดือน ขณะที่ดัชนี BSE Sensex 30 ร่วงลง 0.69%

ทางด้าน Nikkei 225 ของญี่ปุ่นร่วงลง 0.2% จากผลขาดทุนในธุรกิจภาคประกันภัย อุตสาหกรรมเภสัชกรรม และพลังงาน แต่ยังคงถูกจำกัดจากข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภคที่ผ่อนคลายลงในเดือนกุมภาพันธ์ โดยเพิ่มขึ้นเพียง 3.1% จากปีก่อน ตรงกับการคาดการณ์ของตลาด ชะลอตัวลงอย่างรวดเร็วจากระดับสูงสุดในรอบ 41 ปีที่ 4.2% ในเดือนมกราคม ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อญี่ปุ่นอาจชะลอตัวลงต่ำกว่าเป้าหมาย 2% ในปลายปีนี้ตามที่ BOJ คาดการณ์ไว้ จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลกที่เย็นลงและการดีดตัวของเงินเยนที่ได้ช่วยลดต้นทุนการนำเข้า

ล่าสุด ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตัวบวกเล็กน้อยในเช้าวันจันทร์ โดยดัชนี MSCI ขยับขึ้น 0.1% จากความคาดหวังว่ามาตรการจากรัฐบาลและธนาคารกลางทั่วโลกจะช่วยลดแรงกระเพื่อมต่อวิกฤตในภาคธนาคารในขณะนี้ได้ แม้ว่าตลาดยังคงเฝ้าจับตาดูระดับค่าใช้จ่ายในการประกันความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และใกล้ถึงระดับอันตรายใน Deutsche Bank เมื่อวันศุกร์ ซึ่งรวมไปถึงสัญญา Credit Default Swap (CDS) ของธนาคารอื่นๆ หลายแห่ง

อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์ได้ปรับลดประมาณการกำไรของบริษัทต่างๆ ในเอเชีย เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก รวมถึงการขาดแรงหนุนจากการการฟื้นตัวของจีนหลังเปิดประเทศ ซึ่งคาดว่าอาจไม่เพียงพอที่จะชดเชยอุปสงค์ทั่วโลกที่อ่อนแอได้

จากข้อมูลการค้าระดับภูมิภาคแสดงให้เห็นว่า การเปิดเศรษฐกิจอีกครั้งของจีนไม่ได้กระตุ้นผู้ส่งออกในเอเชียมากนัก โดยการส่งออกของไต้หวันลดลงในเดือนกุมภาพันธ์มาอยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ปี ขณะที่เกาหลีใต้รายงานว่าการส่งออกลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5

นอกจากนี้ สัญญาณการชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารกลางสหรัฐฯเพื่อหลีกเลี่ยงแรงกดดันทางเศรษฐกิจเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้จะส่งผลให้ดัชนีส่วนใหญ่ดีดตัวเพิ่มขึ้น แต่ในทางกลับกัน ก็เพิ่มความกังวลถึงผลกระทบของการล่มสลายในภาคธนาคาร ในขณะที่มาตรการฉุกเฉินเพื่อช่วยเหลือสภาพคล่อง ก็ได้สวนทางกับนโยบายทางการเงินที่เข้มงวดของธนาคารกลางสหรัฐฯที่ผ่านมา โดยเฟดยังได้ปรับลดตัวเลขจีดีพีคาดการณ์ในปีนี้ลงอีกเล็กน้อย ซึ่งชี้ให้เห็นถึงอุปสรรคทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นจากอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่สูง ส่งผลให้ตลาดหุ้นเอเชียอาจถูกกดดัน จากนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อยลงในช่วงนี้

ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (1H)

แนวต้านสำคัญ : 27122.0, 27140.9, 27171.7

แนวรับสำคัญ : 27060.4, 27041.5, 27010.7          

1H Outlook        

ที่มา: Investing.com             

Buy/Long 1 หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 27050.4 - 27060.4 แต่ไม่สามารถเบรกแนวรับที่ 27060.4 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 27140.0 และ SL ที่ประมาณ 27045.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Buy/Long 2 หากสามารถเบรกแนวต้านที่ช่วงราคา 27122.0 - 27132.0 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 27155.0 และ SL ที่ประมาณ 27057.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้                 

Sell/Short 1 หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 27122.0 - 27132.0 แต่ไม่สามารถเบรกแนวต้านที่ 27122.0 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 27061.0 และ SL ที่ประมาณ 27137.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Sell/Short 2 หากสามารถเบรกแนวรับที่ช่วงราคา 27050.4 - 27060.4 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 27028.0 และ SL ที่ประมาณ 27125.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Pivot Points Mar 25, 2023 09:25AM GMT+7

Sources: Investing 1, Investing 2