ECB เดินหน้าใช้นโยบายแบบเข้มงวด

เศรษฐกิจยูโรโซนปัจจุบันแม้ยังคงเผชิญกับการเติบโตที่เริ่มชะลอตัว แต่อัตราเงินเฟ้อในกลุ่มกลับยังคงสูงอยู่มาก ส่งผลให้ธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจำกัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจในครัวเรือนและธุรกิจมากขึ้นต่อไป ด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยติดต่อกันเป็นครั้งที่ 7 ในวันพฤหัสบดีนี้

นอกจากนี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ยังได้เรียกร้องให้ ECB ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนถึงกลางปี 2567 และเรียกร้องให้บรรดารัฐมนตรีคลังของสหภาพยุโรปใช้นโยบายการคลังแบบเข้มงวดกันมากขึ้น หลังจากที่ข้อมูลอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในยูโรโซนล่าสุดจาก Eurostat ในเดือนเมษายนเพิ่มขึ้นตามคาดเป็น 7.0% เมื่อเทียบรายปี ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานซึ่งไม่รวมราคาพลังงานและอาหารชะลอตัวลงเล็กน้อยที่ 5.6% ลดลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่าจะไม่เปลี่ยนแปลง

โดยตลาดและนักวิเคราะห์ยังคงชั่งน้ำหนักถึงผลกระทบและคาดการณ์ว่า ECB อาจขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ที่ 25 จุด หรืออาจจะถึง 50 จุด หลังจากที่ GDP ในยูโรโซนเพิ่มขึ้นเพียง 0.1% ในช่วง 3 เดือนแรกของปี เนื่องจากการบริโภคซบเซาในหลาย ๆ ประเทศ ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นและรายได้ที่แท้จริงที่ลดลงกำลังส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค แม้การเติบโตส่วนใหญ่จะมาจากการส่งออก ซึ่งเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของการค้าโลก จากการที่จีนกลับมาเปิดประเทศอีกครั้ง

ทั้งนี้ ราคาในตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าบ่งชี้ว่าอัตราดอกเบี้ยสูงสุดของ ECB อาจอยู่ที่ประมาณ 3.6% ในปีนี้ โดยผู้ว่าการธนาคารกลางของเบลเยียมคาดว่าอัตราอาจเพิ่มไปถึง 4% ได้ และนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า หลังวันพฤหัสบดีนี้ จะยังคงมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกอย่างน้อยหนึ่งครั้ง แม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯมีแนวโน้มที่จะพักการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยชั่วคราว เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานและค่าจ้างในยุโรปเติบโตเร็วกว่าสหรัฐฯ รวมถึงขอบเขตนโยบายการคลังในเขตยูโรมีการขยายตัวมากขึ้น

โดยอัตราเงินเฟ้อในเยอรมนีลดลงเหลือ 7.6% ในเดือนเมษายนจาก 7.8% ในเดือนก่อนหน้า ในขณะที่โปรตุเกสและไอร์แลนด์พบการเติบโตของราคาที่ลดลงอย่างรวดเร็ว แต่ยังสูงกว่าเป้าหมาย 2% ของ ECB อยู่มาก ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในฝรั่งเศสและสเปน ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการยุติมาตรการช่วยเหลือด้านพลังงานบางส่วน ซึ่งค่าสินค้าอุปโภคบริโภคที่พุ่งสูงขึ้นเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของอัตราเงินเฟ้อยูโรโซนในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยได้แรงหนุนจากต้นทุนเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น สภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย และการขยายผลกำไรในบริษัทต่างๆ

นอกจากนี้ ภาคตลาดแรงงานที่ตึงตัวและการเรียกร้องขึ้นค่าจ้างจากพนักงานราชการในเยอรมนีที่เพิ่งบรรลุข้อตกลงที่จะปรับเพิ่มขึ้นในอัตรา 5.5% ในปีหน้า อาจผลักดันให้เกิดการเจรจาในภาคธุรกิจอื่นๆ และอาจส่งผลกระทบต่อการคาดการณ์แนวโน้มการเติบโตค่าจ้างของ ECB ในปีนี้ได้

ทางด้านเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงจากระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ในวันอังคารก่อนการประชุมนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯจะเริ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอีก 25 จุดในสัปดาห์นี้ จึงอาจส่งผลให้เงินยูโรมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้อยู่บ้างในระยะสั้น แม้ขาขึ้นจะยังคงถูกจำกัดจากความแตกต่างของผลตอบแทนระหว่างสองเขตเศรษฐกิจ และความกังวลจากภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่เริ่มชัดเจนมากขึ้น

ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (5H) CFD EUR/USD

แนวต้านสำคัญ : 1.1014, 1.1018, 1.1023

แนวรับสำคัญ : 1.1002, 1.0998, 1.0993                                 

5H Outlook

 ที่มา: Investing.com                  

Buy/Long 1 หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 1.0997 - 1.1002 แต่ไม่สามารถเบรกแนวรับที่ 1.1002 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.1017 และ SL ที่ประมาณ 1.0994 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Buy/Long 2 หากสามารถเบรกแนวต้านที่ช่วงราคา 1.1014 - 1.1019 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.1028 และ SL ที่ประมาณ 1.0998 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้                 

Sell/Short 1 หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 1.1014 - 1.1019 แต่ไม่สามารถเบรกแนวต้านที่ 1.1014ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.1002 และ SL ที่ประมาณ 1.1022 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Sell/Short 2 หากสามารถเบรกแนวรับที่ช่วงราคา 1.0997 - 1.1002 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.0990 และ SL ที่ประมาณ 1.1017 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Pivot Points May 03, 2023 08:40AM GMT+7

Sources: Investing 1, Investing 2