9 ข่าวสำคัญที่ส่งผลต่อตลาด Forex สาย Fundamental ห้ามพลาด!!
ข่าว Forex เป็นสิ่งจำเป็นที่เทรดเดอร์ต้องรู้ แม้ว่าเทรดเดอร์อาจจะไม่ได้เทรดตามข่าวก็ตาม แต่มีหลายปัจจัยที่ส่งผลให้เทรดเดอร์ตัดสินใจผิดพลาด หากไม่ติดตามข่าวสารข้อมูลเกี่ยวกับตลาด Forex หรือเข้าเทรดด้วยความเสี่ยงที่สูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว ตัวเลขข่าวจะส่งผลกระทบ “รุนแรง” ต่อตลาด Forex จนหลายคนเรียกว่าข่าวอันตราย เทรดเดอร์สายเทคนิคมักจะหลีกเลี่ยงช่วงเวลาดังกล่าว หรือทำการปิดออเดอร์ที่ถือไว้ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้น แต่ยังมีเทรดเดอร์สายข่าว ที่รอเก็งกำไรในช่วงนี้ก็มีเช่นเดียวกัน โดยบทความนี้จะอธิบายถึง 9 ข่าวสำคัญที่ส่งผลต่อตลาด Forex พร้อมทั้งมุมมองการวิเคราะห์ จะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลยครับ
1. อัตราการจ้างงานสหรัฐฯ (Non-Farm Employment Change: Non-Farm)
ข่าว Non-Farm จะประกาศออกมาในช่วงกลางคืนวันศุกร์แรกของทุก ๆ เดือน เวลาประมาณ 19.30 น. ของประเทศไทย และเวลา 8.30 น. ตามเวลานิวยอร์ค หรือบางเดือนอาจจะเลื่อนประกาศเป็นเวลา 20.30 น. ได้
เทคนิคการวิเคราะห์ข่าว Non-Farm
หากการประกาศตัวเลขการจ้างงานออกมาสูง
- การจ้างงานที่สูงขึ้น จะสะท้อนถึงภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ดีขึ้น
- จะส่งผลให้ USD มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น
- คู่เงินที่มี USD อยู่ข้างหน้า เช่น USD/JPY, USD/CHF ราคามีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น
- คู่เงินที่มี USD อยู่ข้างหลัง เช่น EUR/USD, GBP/USD ราคามีแนวโน้มปรับตัวต่ำลง
- ในสภาวะเศรษฐกิจดีขึ้น ราคาทองคำจึงมีแนวโน้มปรับตัวต่ำลง
หากการประกาศตัวเลขการจ้างงานออกมาต่ำ
- การจ้างงานที่ต่ำลง จะสะท้อนถึงภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่แย่ลง
- จะส่งผลให้ USD มีแนวโน้มอ่อนค่าลง
- คู่เงินที่มี USD อยู่ข้างหน้า เช่น USD/JPY, USD/CHF ราคามีแนวโน้มปรับตัวต่ำลง
- คู่เงินที่มี USD อยู่ข้างหลัง เช่น EUR/USD, GBP/USD ราคามีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น
- ในสภาวะเศรษฐกิจแย่ลง ราคาทองคำจึงมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น
หมายเหตุ: นักลงทุนมืออาชีพส่วนใหญ่หลีกเลี่ยงการเทรดในช่วงการประกาศข่าว Non-Farm เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงกว่าปกติ และอาจเกิดความเสี่ยงที่ควบคุมได้ยาก เช่น อัตราค่า Spread ที่สูงขึ้น, Slippage, และ Gap ของราคา แต่ในมุมมองที่ต่างกันก็ยังมีนักลงทุนบางกลุ่มที่ตั้งตารอเทรดข่าวนี้ เสมือนโบนัสประจำเดือน โดยคิดค้นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อรับมือกับข่าวนี้โดยเฉพาะ
2. ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Poduct : GDP)
โดยสามารถคำนวณได้ตามสูตรนี้: GDP = รายจ่ายเพื่อบริโภค + รายจ่ายเพื่อการลงทุน + รายจ่ายของรัฐบาล + (ส่งออก + นำเข้า) -ประเทศพัฒนาแล้วส่วนใหญ่ GDP โตก็จะอยู่เราราวๆ 1-2% ประเทศกำลังพัฒนา อาจจะสามารถโตได้ถึง 5-6%
- ประเทศพัฒนาแล้วส่วนใหญ่ GDP โตก็จะอยู่เราราวๆ 1-2%
- ประเทศกำลังพัฒนา อาจจะสามารถโตได้ถึง 5-6%
เทคนิคการวิเคราะห์ข่าว GDP
หากประกาศตัวเลข GDP สูงขึ้นเล็กน้อยหรือปกติ
- GDP ที่สูงขึ้นจะส่งผลให้ USD มีแนวโน้มดีขึ้น
- คู่เงินที่มี USD อยู่ข้างหน้า เช่น USD/JPY, USD/CHF ราคามีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น
- คู่เงินที่มี USD อยู่ข้างหลัง เช่น EUR/USD, GBP/USD ราคามีแนวโน้มปรับตัวต่ำลง
- ในสภาวะเศรษฐกิจดีขึ้น ราคาทองคำจึงมีแนวโน้มปรับตัวต่ำลง
- ธนาคารอาจมีแนวโน้มผลักดันนโยบายเพื่อเพิ่มอัตราดอกเบี้ย อาจส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น
- หากดอกเบี้ยสูงขึ้น จะส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัว เนื่องจากภาคธุรกิจลดการกู้ยืม และเพิ่มความเสี่ยงของภาวะถดถอย
หากประกาศตัวเลข GDP ลดลงหรือหดตัว
- GDP ที่ลดลงอาจจะส่งผลให้ USD มีแนวโน้มอ่อนค่าลง
- คู่เงินที่มี USD อยู่ข้างหน้า เช่น USD/JPY, USD/CHF ราคามีแนวโน้มปรับตัวต่ำลง
- คู่เงินที่มี USD อยู่ข้างหลัง เช่น EUR/USD, GBP/USD ราคามีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น
- ในสภาวะเศรษฐกิจแย่ลง ราคาทองคำจึงมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น
- ภาคธุรกิจลดขนาดของธุรกิจ ลดคนงาน
- หาก GDP ติดลบกัน 2 ไตรมาสถือเป็นสัญญาณของการถดถอยทางเศรษฐกิจ
3. การประกาศปรับอัตราดอกเบี้ยธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Funds Rate)
เทคนิคการวิเคราะห์ข่าว Federal Funds Rate
หากประกาศการอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น
- ดอกเบี้ยสูงขึ้น จะส่งผลให้เงินไหลเข้าประเทศมากขึ้น
- จะส่งผลให้ USD มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น
- USD แข็งค่าขึ้น ราคาทองคำจึงมีแนวโน้มปรับตัวลดลง
หากประกาศการอัตราดอกเบี้ยลดลง
- ดอกเบี้ยลดลง จะส่งผลให้เงินไหลออกนอกประเทศมากขึ้น
- จะส่งผลให้ USD มีแนวโน้มอ่อนค่าลง
- USD อ่อนค่าลง ราคาทองคำจึงมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น
4. อัตราการว่างงาน (Unemployment Rate)
เทคนิคการวิเคราะห์ข่าว Unemployment Rate
หากประกาศการอัตราว่างงานเพิ่มขึ้น
- อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น เนื่องจากคนมีงานทำน้อยลง บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจแย่ลง
- เศรษฐกิจที่แย่ลง อาจส่งผลให้ USD อ่อนค่าลง
- USD อ่อนค่าลง ราคาทองคำจึงมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น
หากประกาศการอัตราว่างงานลดลง
- อัตราการว่างงานลดลง เนื่องจากคนมีงานทำมากขึ้น บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจเติบโตดีขึ้น
- เศรษฐกิจที่ดีขึ้น อาจส่งผลให้ USD แข็งค่าขึ้น
- USD แข็งค่าขึ้น ราคาทองคำจึงมีแนวโน้มปรับตัวต่ำลง
5. ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (Purchasing Managers’ Index: PMI)
- Manufacturing PMI ดัชนีภาคการผลิต
- Non-Manufacturing PMI หรือ Services PMI ดัชนีภาคการบริการ
หากตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อออกมาสูง
- ค่าดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อที่สูงมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ สะท้อนว่า สภาวะทางเศรษฐกิจของภาคบริการโดยทั่วไปมีการขยายตัว
- ถือเป็นตลาดขาขึ้น หรือตลาดกระทิงสำหรับสกุลเงิน USD
- นั่นหมายความว่า ราคาทองคำจะมีการปรับตัวต่ำลง
หากตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อออกมาต่ำ
- ค่าดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อที่ต่ำกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ สะท้อนว่า สภาวะทางเศรษฐกิจของภาคบริการโดยทั่วไปมีการหดตัว
- ถือเป็นตลาดขาลง หรือตลาดหมีสำหรับสกุลเงิน USD
- นั่นหมายความว่า ราคาทองคำจะมีการปรับตัวสูงขึ้น
6. ดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index: CPI)
คือ ตัวเลขทางสถิติที่ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการที่ผู้บริโภคซื้อมาบริโภคเป็นประจำจากมุมมองของผู้บริโภค โดยการนำตัวเลขในปัจจุบันเปรียบเทียบกับราคาในปีที่กำหนดไว้เป็นปีฐาน ซึ่งตัวเลขที่ออกมาจะสามารถนำมาใช้วัดหลักของอัตราเงินเฟ้อภายในประเทศ และการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มการจัดซื้อได้ ทั้งนี้ ดัชนีราคาผู้บริโภคที่ไม่ได้รวมอาหารสดและพลังงาน จะถูกเรียกว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) เนื่องจากเป็นหมวดที่มีความเคลื่อนไหวขึ้นลงตามฤดูกาล และอยู่นอกเหนือการควบคุมของนโยบายการเงิน
เทคนิคการวิเคราะห์ตัวเลขดัชนี CPI
หากตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคออกมาต่ำ
- ค่าดัชนีราคาผู้บริโภคที่สูงขึ้น สะท้อนว่า ประเทศนั้น ๆ กำลังเกิดภาวะเงินเฟ้อ
- ถือเป็นตลาดขาขึ้น หรือตลาดกระทิงสำหรับสกุลเงิน USD
- นั่นหมายความว่า ราคาทองคำจะมีการปรับตัวต่ำลง
หากตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคออกมาต่ำ
- ค่าดัชนีราคาผู้บริโภคที่ต่ำลง สะท้อนว่า ประเทศนั้น ๆ กำลังเกิดภาวะอุปสงค์ของผู้บริโภคลดลง และภาวะเงินฝืด
- ถือเป็นตลาดขาลง หรือตลาดหมีสำหรับสกุลเงิน USD
- นั่นหมายความว่า ราคาทองคำจะมีการปรับตัวสูงขึ้น
ดังนั้น ตัวเลข CPI ที่ดีส่วนใหญ่จึงควรอยู่ใน “ระดับปานกลาง” ที่แสดงถึงอัตราเงินเฟ้อที่เหมาะสม ไม่สูงหรือต่ำจนเกินไป
7. ดัชนีราคาผู้ผลิต (Producer Price Index: PPI)
คือ ดัชนีราคาที่คํานวณขึ้นเพื่อใช้วัดการเปลี่ยนแปลงราคาสินค้าและวัตถุดิบที่ผู้ผลิตได้จำหน่ายโดยเฉลี่ย แรงกดดันเงินเฟ้อที่มาจากฝั่งผู้ผลิต ภาวะการค้าของประเทศ และสภาพเศรษฐกิจของภาคการผลิตโดยรวมของประเทศ ซึ่งคำนวณได้จากการนำตัวเลขที่ผู้ผลิตได้รับช่วงเวลาหนึ่งเปรียบเทียบกับช่วงเวลา ณ ปีฐาน ทั้งนี้ ดัชนีราคาผู้ผลิตที่ไม่ได้รวมอาหารสดและพลังงาน จะถูกเรียกว่า ดัชนีราคาผู้ผลิตพื้นฐาน (Core PPI) ซึ่งจะถูกจับตามองมากกว่า เนื่องจากส่งผลสอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อ อีกทั้ง ดัชนีนี้จะถูกประกาศควบคู่กับดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) หากตัวเลข PPI ที่ถูกประกาศออกมาก่อนตัวเลข CPI มีค่าสูง มักจะทำให้ CPI มีค่าที่สูงตามไปด้วย
เทคนิคการวิเคราะห์ตัวเลขดัชนี PPI
หากตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิตออกมาสูง
- ค่าดัชนีราคาผู้ผลิตที่สูงขึ้น สะท้อนว่า ประเทศนั้น ๆ กำลังเกิดภาวะเงินเฟ้อที่มาจากฝั่งผู้ผลิต ซึ่งคิดเป็นส่วนใหญ่ของภาวะเงินเฟ้อโดยรวม
- ถือเป็นตลาดขาขึ้น หรือตลาดกระทิงสำหรับสกุลเงิน USD
- นั่นหมายความว่า ราคาทองคำจะมีการปรับตัวต่ำลง
หากตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิตออกมาต่ำ
- ค่าดัชนีราคาผู้ผลิตที่ต่ำลง สะท้อนว่า ประเทศนั้น ๆ กำลังเกิดภาวะเงินฝืด
- ถือเป็นตลาดขาลง หรือตลาดหมีสำหรับสกุลเงิน USD
- นั่นหมายความว่า ราคาทองคำจะมีการปรับตัวสูงขึ้น
ดังนั้น ตัวเลข PPI ที่ดีส่วนใหญ่จึงควรอยู่ใน “ระดับปานกลาง” ที่แสดงถึงอัตราเงินเฟ้อที่เหมาะสม ไม่สูงหรือต่ำจนเกินไป
8. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence Index: CCI)
คือ ดัชนีที่แสดงถึงทัศนคติและความรู้สึกของผู้บริโภคต่อสภาพเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศตนเองในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้า โดยดัชนีนี้จะมีความสัมพันธ์สอดคล้องกับอัตราการว่างงาน อัตราเงินเฟ้อ รายได้ที่แท้จริง และดัชนีชี้วัดผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) ดังนั้น หากผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นว่า ธุรกิจในอนาคตมีแนวโน้มที่ดี ผู้บริโภคก็จะมีการใช้จ่ายและลงทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจโดยรวมดีขึ้นตามไปด้วย ขณะเดียวกัน หากผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่นในธุรกิจ กิจกรรมทางเศรษฐกิจในอนาคตก็จะลดลงตามไปด้วยเช่นกัน
ดัชนีวัดความเชื่อมั่นของผู้บริโภค จะประกาศทุกวันอังคารสุดท้ายของเดือน ซึ่งเป็นการสำรวจข้อมูลในภาคครัวเรือนเดือนปัจจุบัน
เทคนิคการวิเคราะห์ตัวเลขดัชนี CCI
หากตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคออกมาสูง
- ค่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่มากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ สะท้อนว่า ภาพรวมเศรษฐกิจจะมีแนวโน้มขาขึ้น
- ถือเป็นตลาดขาขึ้น หรือตลาดกระทิงสำหรับสกุลเงิน USD
- นั่นหมายความว่า ราคาทองคำจะมีการปรับตัวต่ำลง
หากตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคออกมาต่ำ
- ค่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ต่ำน้อยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ สะท้อนว่า ภาพรวมเศรษฐกิจจะมีแนวโน้มขาลง
- ถือเป็นตลาดขาลง หรือตลาดหมีสำหรับสกุลเงิน USD
- นั่นหมายความว่า ราคาทองคำจะมีการปรับตัวสูงขึ้น
9. ดัชนียอดค้าปลีก (Retail Sales)
เทคนิคการวิเคราะห์ตัวเลขดัชนี Retail Sales
หากตัวเลขดัชนียอดค้าปลีกออกมาสูง
- ค่าดัชนียอดค้าปลีกที่สูงเกินคาด สะท้อนว่า สภาวะทางเศรษฐกิจในปัจจุบันและอนาคตจะมีแนวโน้มขยายตัว
- ถือเป็นตลาดขาขึ้น หรือตลาดกระทิงสำหรับสกุลเงิน USD
- นั่นหมายความว่า ราคาทองคำจะมีการปรับตัวต่ำลง
หากตัวเลขดัชนียอดค้าปลีกออกมาต่ำ
- ค่าดัชนียอดค้าปลีกที่ต่ำเกินคาด สะท้อนว่า สภาวะทางเศรษฐกิจในปัจจุบันและอนาคตจะมีแนวโน้มหดตัว
- ถือเป็นตลาดขาลง หรือตลาดหมีสำหรับสกุลเงิน USD
- นั่นหมายความว่า ราคาทองคำจะมีการปรับตัวสูงขึ้น
จากตัวเลขสำคัญทั้ง 9 ตัวนี้ ล้วนส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ ตลอดจนค่าเงินของแต่ละประเทศ รวมถึงราคาทองคำด้วยเช่นกัน ดังนั้น นักลงทุนที่ต้องการลงทุนใน Forex รวมถึงสินทรัพย์ต่าง ๆ จึงควรติดตามตัวเลขเหล่านี้ไว้ โดยเฉพาะตัวเลขของฝั่งสหรัฐอเมริกา เนื่องจากค่าเงิน USD ถือเป็นสกุลเงินหลักสำหรับการเทรด Forexอย่างไรก็ตาม ถึงแม้การประกาศตัวเลขต่าง ๆ จะบ่งชี้ว่า ราคาจะขึ้นหรือลง แต่มันก็อาจไม่ได้เป็นไปตามนั้นเสมอไป เพราะการขึ้นลงของราคายังขึ้นอยู่กับปัจจัยอีกหลายอย่าง ไม่ใช่เพียงการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว ดังนั้น นักลงทุนจึงควรติดตามข่าวสารอื่น ๆ ประกอบการตัดสินใจด้วย อาทิ แถลงการณ์ของประธานธนาคารกลาง (เฟด) ปัจจัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงทางสภาวะแวดล้อมของโลก รวมถึงความขัดแย้งระหว่างประเทศ เป็นต้น
โดยนักลงทุนไม่ต้องเสียเวลาวิเคราะห์ข่าวเอง เพราะสามารถติดตามตัวเลขทางเศรษฐกิจข้างต้น ข่าวสารสำคัญ รวมถึงมีบทวิเคราะห์ทางเทคนิคเชิงลึกของสินทรัพย์ต่าง ๆ ที่ทางทีมงาน Fxtoday ได้จัดเตรียมไว้ โดยข้อมูลทั้งหมดนี้ สามารถติดตามได้จากเว็บไซต์ Fxtoday.news หวังว่า ข้อมูลในบทความนี้จะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยต่อนักลงทุนทุกท่าน
____________________________________________
อัพเกรดความรู้เพิ่มเติม: Blog
รู้เท่าทันข่าว&สถานการณ์โลก: Forex News
บทวิเคราะห์เชิงเทคนิคขั้นสูง: Technical Analysis