แหล่งข่าวระบุว่า รัฐบาลสหรัฐภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน มีแผนที่จะผ่อนคลายมาตรการจำกัดการเดินทางให้กับประเทศที่มีชายแดนติดกับสหรัฐ เช่น แคนาดาและเม็กซิโก รวมไปถึงประเทศอื่นๆ เช่น อังกฤษ, บราซิล และประเทศในภูมิภาคยุโรปในช่วงกลางเดือน พ.ค.นี้
แม้ขณะนี้ยังไม่มีการพิจารณานโยบายหรือร่างกฎหมายอย่างเป็นทางการ แต่การหารือในประเด็นดังกล่าวก็เน้นไปที่การควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ต่างๆ ในประเทศ ขณะที่หน่วยงานบริหารท้องถิ่นจะเป็นฝ่ายตัดสินใจเองว่าจะกลับมาเปิดให้เดินทางเข้าพื้นที่ได้เมื่อใด โดยในระหว่างนี้ เจ้าหน้าที่ได้เปิดเผยว่า ปธน.ไบเดนและคณะทำงานเฉพาะกิจด้านการควบคุมโรคโควิด-19 น่าจะยังต้องการเวลามากกว่านี้เพื่อให้มีความมั่นใจมากพอจะกลับมาเปิดชายแดนอีกครั้ง รวมไปถึงการอนุญาตให้มีการเดินทางเข้าประเทศโดยเครื่องบินได้เพิ่มเติม
"ในช่วงกลางเดือนพ.ค.นี้ จะมีการเปลี่ยนแปลงมาตรการจำกัดการเดินทางไปโดยสิ้นเชิง เมื่อประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ได้มากขึ้น" เจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสรายหนึ่งระบุ
ทั้งนี้ รัฐบาลสหรัฐภายใต้การบริหารของปธน.ไบเดนนั้นประสบปัญหาในการรับมือกับผู้อพยพบริเวณชายแดนทางใต้ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมาก และในจำนวนนี้มีเยาวชนซึ่งไม่มีผู้ปกครองดูแลอยู่มากเกินกว่าที่ศูนย์พักพิงในพื้นที่จะรองรับได้ ขณะที่จำนวนผู้อพยพวัยผู้ใหญ่ที่ถูกจับกุมตัวได้พุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 20 ปี โดยที่ผ่านมารัฐบาลสหรัฐได้พยายามกดดันให้รัฐบาลเม็กซิโกช่วยจำกัดจำนวนผู้อพยพ นอกเหนือไปจากการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ในเชิงรุก และออกมาตรการบังคับให้ใส่หน้ากากอนามัยเพื่อสกัดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด