ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นวอลล์สตรีทเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันแรกของไตรมาส 2 ยังคงคึกคัก โดยดัชนี S&P 500 ปิดตลาดพุ่งทะลุอยู่เหนือระดับ 4,000 จุดเป็นครั้งแรก ซึ่งราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นได้อานิสงส์จากหุ้นของ Microsoft, Amazon และ Alphabet บวกกับความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดที่มีต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ หลังข้อมูลภาคการผลิตที่แข็งแกร่งช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

โดยดัชนี Dow Jones เพิ่มขึ้น 0.52% ปิดที่ 33,153.21 จุด, ดัชนี S&P เพิ่มขึ้น 1.18 % ปิดที่ 4,019.87 จุด และดัชนี Nasdaq 1.76 % ปิดที่ 13,480.11 จุด

ความเคลื่อนไหวของตลาดที่ค่อนข้างคึกคักยังมีขึ้นหลังจากที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แถลงแผนยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่รัฐหวังจะช่วยสร้างงานหลายล้านอัตรา

นักวิเคราะห์บอกว่าความคาดหมายต่อรายงานผลประกอบการของบริษัทต่างๆ ที่แข็งแกร่ง โดยมีกำหนดเผยออกมาหลังจากนี้ กระตุ้นให้นักลงทุนเข้าช้อนซื้อหุ้นเก็บไว้

ด้านหุ้นของธนาคารเครดิตสวิสก็มีการปรับตัวฟื้นขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากช่วงสองวันที่ผ่านมาปรับตัวร่วงลงอย่างหนัก จากกรณีการผิดนัดชำระหนี้ของเฮดจ์ฟันด์อย่าง Archegos ซึ่งมีรายงานเปิดเผยรายชื่อธนาคารและสถาบันการเงินชั้นนำที่ได้รับผลกระทบจาก Archegos

ทั้งนี้ หนังสือพิมพ์ Nikkei รายงานว่า Mizuho Financial Group Inc. คือสถาบันการเงินการลงทุนรายล่าสุดที่ออกมาประเมินว่า บริษัทอาจสูญเงินถึง 90 ล้านดอลลาร์ โดยเป็นสาขาของธนาคารในสหรัฐฯ ที่ให้ Archegos กู้ยืมเงินไป

ขณะเดียวกัน จากกรณีที่เกิดขึ้นทำให้หลายฝ่ายเริ่มตั้งคำถามถึงบทบาทของ Morgan Stanley และ Goldman Sachs ที่มีส่วนทำให้เกิดภาวะผันผวนในราคาหุ้นของ ViacomCBS แถมยังมีบทบาทที่หลากหลายในการเข้าไปแทรกแซงทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการบังคับขาย Margin Call

โดยนักวิเคราะห์ระบุว่า การกระทำดังกล่าวทำให้มีการพิจารณาว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสมถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ที่สถาบันเหล่านี้จะเข้าไปแทรกแซงหุ้นตัวเดียวกัน โดยในกรณีของ Archegos หลังพบว่ามีปัญหา ทั้ง Morgan Stanley และ Goldman Sachs ก็บีบและเร่งนำหุ้นของ ViacomCBS ไปขายในตลาดรอง จนดันให้ราคาหุ้นของ ViacomCBS ลดลงถึง 23% จนนำไปสู่การผิดนัดชำระหนี้ของ Archegos ที่เข้าไปลงทุนและถือหุ้นจำนวนมากของ ViacomCBS ก่อนขยายตัวสร้างความเสียหายเป็นวงกว้างตามที่เป็นข่าวในปัจจุบัน