ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของจีน ประกาศเร่งระดมฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 โดยตั้งเป้าว่าจะฉีดวัคซีนให้ประชาชน 560 ล้านรายหรือคิดเป็นสัดส่วน 40% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งมากกว่าเป้าหมายที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐ กำหนดไว้ในระยะเดียวกันถึงกว่าสองเท่า โดยจีนจะผลักดันให้สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ พนักงานธนาคาร และบุคลากรในมหาวิทยาลัยต่างๆ เข้ารับการฉีดวัคซีน หลังจากเล็งเห็นว่าการดำเนินการฉีดวัคซีนที่เป็นไปได้อย่างล่าช้า ซึ่งอาจส่งผลให้การจำกัดการแพร่ระบาดของโรคโดยใช้วัคซีนไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
CDC ของจีนตั้งเป้าหมายว่า จะเร่งดำเนินการฉีดวัคซีนจำนวนดังกล่าวจนครบภายในเดือน มิ.ย. ซึ่งหมายความว่าจะต้องระดมฉีดวัคซีนให้ได้ 460 ล้านโดสภายใน 3 เดือนหลังจากนี้
ขณะนี้จีนกำลังเผชิญกับอุปสรรคสำคัญในการระดมฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก นั่นก็คือการที่ประชาชนทั่วไปไม่เห็นความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องเข้ารับการฉีดวัคซีน อย่างไรก็ดี ความเป็นไปได้ที่ว่าประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะประเทศคู่แข่งอย่างสหรัฐ อาจสามารถสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในกลุ่มประชากรของตนและกลับมาเปิดประเทศได้ก่อนจีนนั้น ได้ผลักดันให้จีนมีความมุ่งมั่นมากขึ้นในการเร่งระดมฉีดวัคซีนให้ประชาชนในประเทศ
นายหยานจง หวง ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยอนามัยโลกแห่งมหาวิทยาลัยซีตันฮอลล์ในรัฐนิวเจอร์ซีย์ระบุว่า หากประเทศอื่นๆสามารถเปิดประเทศในขณะที่จีนยังต้องคอยป้องกันไม่ให้เชื้อโควิด-19 จากต่างประเทศเข้ามาแพร่ระบาดในจีนนั้น ก็จะทำให้เกิดข้อกังขาเกี่ยวกับประสิทธิภาพของรัฐบาลจีนในการรับมือการแพร่ระบาด
อย่างไรก็ตาม หน่วยงานสาธารณสุขของจีนได้เร่งฉีดวัคซีนเร็วขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมีการฉีดวัคซีนเฉลี่ย 5 ล้านโดสต่อวัน เมื่อเทียบกับระดับต่ำกว่า 1 ล้านโดสต่อวันในช่วงต้นปี อย่างไรก็ดีข้อมูลจากสำนักข่าวบลูมเบิร์กก็ระบุว่า แม้จะมีการฉีดวัคซีนต่อวันเป็นจำนวนมากขึ้นมาก จีนก็ยังมีอัตราการฉีดวัคซีนอยู่ที่ระดับเพียง 5 รายต่อประชากร 100 ราย ตามหลังสหรัฐที่ระดับ 25 ราย และอิสราเอลที่ระดับ 56 ราย