ประธานาธิบดีโจ ไบเดนกล่าวว่า เขาไม่มีความวิตกว่าข้อเสนอของเขาในการปรับขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสู่ระดับ 28% จะทำให้ภาคธุรกิจถอนตัวออกจากสหรัฐฯ ปธน.ไบเดนกล่าวว่า ไม่มีหลักฐานที่แสดงว่า การปรับขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคลจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐ และทำให้ภาคธุรกิจถอนตัวออกจากสหรัฐ
ด้านนางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ กล่าวว่า ตนกำลังดำเนินการร่วมกับกลุ่มประเทศจี20 เพื่อบรรลุข้อตกลงในการกำหนดอัตราภาษีขั้นต่ำสำหรับภาคธุรกิจในระดับโลก
คำกล่าวของนางเยลเลนมีขึ้น หลังจากที่ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา หลายประเทศทั่วโลกพยายามแข่งขันกันกำหนดอัตราภาษีสำหรับภาคธุรกิจในระดับต่ำที่สุดเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ภาคธุรกิจของสหรัฐอาจถอนการลงทุนไปยังต่างประเทศ ขณะที่รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดนมีนโยบายปรับขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสู่ระดับ 28% เพื่อให้รัฐบาลมีรายได้ชดเชยการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานวงเงินกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์
นางเยลเลนกล่าวว่า เป็นเรื่องสำคัญที่รัฐบาลต่างๆจะต้องมีระบบภาษีที่มีเสถียรภาพเพื่อสร้างรายได้ที่เพียงพอให้แก่รัฐบาลในการใช้จ่ายในภาคสาธารณะ และการรับมือกับวิกฤตการณ์ ขณะที่ประชาชนก็ต้องแบกรับความรับผิดชอบในสัดส่วนที่เหมาะสมในการสนับสนุนด้านการเงินแก่ทางรัฐบาล นอกจากนี้ นางเยลเลนยังระบุว่า ในการเข้าร่วมการประชุมประจำปีของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และธนาคารโลกในสัปดาห์นี้ ตนจะผลักดันความคืบหน้าในการแก้ปัญหาโลกร้อน และการเข้าถึงวัคซีนโควิด-19 ของประเทศต่างๆ รวมทั้งสนับสนุนการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งของเศรษฐกิจโลก
นางเยลเลนกล่าวว่า เป็นการเร็วเกินไปที่จะประกาศชัยชนะเหนือโควิด-19 แม้ว่าบางประเทศประสบความสำเร็จในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
นางเยลเลนระบุว่า ยังคงมีความจำเป็นที่จะต้องสนับสนุนกลุ่มประเทศยากจนในการเข้าถึงวัคซีนโควิด-19
“ดิฉันขอเรียกร้องให้ประเทศต่างๆยังคงสนับสนุนเศรษฐกิจด้วยการใช้มาตรการทางการคลัง และหลีกเลี่ยงการถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเร็วเกินไป โดยยังคงสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และหลีกเลี่ยงภาวะไร้สมดุลในระดับโลก” นางเยลเลนกล่าว