ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 3.36 จุดหรือ0.01%ปิดที่ 33,984.93 จุดดัชนีเอสแอนด์พี500ลดลง 0.90 จุดหรือ0.02%ปิดที่ 4,186.72 จุดและดัชนีแนสแด็กลดลง 48.56 จุดหรือ0.34%ปิดที่ 14,090.22 จุด ราคาหุ้นบริษัทยูไนเต็ด พาร์เซิล เซอร์วิส (UPS) ซึ่งเป็นบริษัทรับส่งพัสดุภัณฑ์ใหญ่ที่สุดในโลก พุ่งขึ้นเกือบ 10% หลังรายงานกำไรและรายได้สูงกว่าคาดในไตรมาส 1
ทั้งนี้ ยูพีเอส เปิดเผยว่า บริษัทมีกำไร 2.77 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.72 ดอลลาร์/หุ้น และมีรายได้ที่ 2.29 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.05 หมื่นล้านดอลลาร์
นักลงทุนจับตาบริษัทจดทะเบียนจำนวนมากซึ่งจะเปิดเผยผลประกอบการในสัปดาห์นี้ โดยบริษัท 1 ใน 3 ในดัชนีเอสแอนด์พี 500 จะประกาศผลประกอบการในไตรมาส 1 รวมทั้งบริษัทยักษ์ใหญ่ในกลุ่มเทคโนโลยี ได้แก่ บริษัทแอ๊ปเปิ้ล, ไมโครซอฟท์, อเมซอนและอัลฟาเบท
ขณะนี้ บริษัท 25% ในดัชนีเอสแอนด์พี 500 ได้เสร็จสิ้นการรายงานผลประกอบการในไตรมาส 1 แล้ว โดยมีจำนวน 84% ที่รายงานตัวเลขกำไรเป็นบวก ขณะที่ 77% รายงานรายได้สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้
นอกจากนี้ นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของเฟดในวันที่ 27-28 เม.ย. หลังเฟดเปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 16-17 มี.ค. โดยระบุว่า เฟดจะยังคงใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินต่อไปจนกว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้นตัวอย่างยั่งยืน
เจพีมอร์แกน ซึ่งเป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐเมื่อพิจารณาจากมูลค่าสินทรัพย์ ออกรายงานระบุว่า ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ให้ผลตอบแทนในช่วง 100 วันแรกของการทำงานของประธานาธิบดีโจ ไบเดน สูงกว่าประธานาธิบดีทุกคนนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 หรือในช่วง 75 ปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ เจพีมอร์แกนเปิดเผยว่า ช่วง 100 วันแรกในการทำงานของปธน.ไบเดน ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ให้ผลตอบแทนสูงถึงเกือบ 25% เมื่อเทียบกับผลตอบแทนต่ำกว่า 15% ในช่วง 100 วันแรกของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เคยทำสถิติสูงสุดเดิมก่อนหน้านี้ โดยให้ผลตอบแทนมากกว่า 20% ในช่วง 100 วันแรกของการทำงานของอดีตประธานาธิบดีจอห์น เอฟ เคนเนดี
เจพีมอร์แกนระบุว่า การพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นวอลล์สตรีทในช่วงการบริหารประเทศของปธน.ไบเดนได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลสหรัฐ ส่งผลให้ดัชนีพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
เจพีมอร์แกนยังเปิดเผยว่า ดัชนีเอสแอนด์พี500 ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงกว่า 2 เท่าภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครตเมื่อเทียบกับประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันนับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ขณะเดียวกัน เจพีมอร์แกนระบุว่า แผนการปรับขึ้นภาษีของปธน.ไบเดนจะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดมากเท่าที่นักลงทุนมีความวิตกกังวลก่อนหน้านี้
ด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 สำหรับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 1/2564 ในวันพฤหัสบดีนี้
ผลการสำรวจนักวิเคราะห์ระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัว 6.1% ในไตรมาส 1 ซึ่งจะเป็นตัวเลขการขยายตัวสูงเป็นอันดับ 2 นับตั้งแต่ไตรมาส 3/2546 หลังจากที่เติบโต 4.3% ในไตรมาส 4/2563 นอกจากนี้ เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 33.4% ในไตรมาส 3/2563 ซึ่งเป็นการขยายตัวสูงเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ที่สหรัฐเริ่มมีการรวบรวมข้อมูลในปี 2490 หรือมากกว่า 70 ปี จากการที่สหรัฐเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ และมีการเปิดเศรษฐกิจ หลังจากหดตัว 31.4% ในไตรมาส 2 ซึ่งเป็นการหดตัวรุนแรงเป็นประวัติการณ์ และหดตัว 5% ในไตรมาส 1 ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย เนื่องจากมีการหดตัว 2 ไตรมาสติดต่อกัน โดยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะมีการขยายตัวมากกว่า 7.0% ในปีนี้ ซึ่งจะเป็นการขยายตัวสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2527 หลังจากหดตัว 3.5% ในปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการหดตัวรุนแรงที่สุดในรอบ 74 ปี