สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (2 ธ.ค.) ขานรับข่าวรัฐบาลอังกฤษอนุมัติให้ใช้วัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ที่พัฒนาโดยบริษัทไฟเซอร์และไบโอเอ็นเทค นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส จะขยายเวลาการปรับลดกำลังการผลิตต่อไปจนถึงปีหน้า รวมทั้งตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐที่ปรับตัวลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 2
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 73 เซนต์ หรือ 1.6% ปิดที่ 45.28 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 83 เซนต์ หรือ 1.8% ปิดที่ 48.25 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้น หลังจากรัฐบาลอังกฤษอนุมัติให้ใช้วัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ที่พัฒนาโดยบริษัทไฟเซอร์ อิงค์ของสหรัฐ และบริษัทไบโอเอ็นเทคของเยอรมนีแล้ว โดยจะเริ่มแจกจ่ายวัคซีนดังกล่าวได้ในสัปดาห์หน้า ซึ่งอังกฤษเป็นประเทศแรกในโลกที่อนุมัติใช้วัคซีนของไฟเซอร์และไบโอเอ็นเทค
สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับปัจจัยบวกจากการคาดการณ์ที่ว่า กลุ่มโอเปกพลัสจะขยายเวลาการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันต่อไปจนถึงปีหน้า โดยขณะนี้รัฐมนตรีพลังงานกลุ่มโอเปกพลัสกำลังหารือกันว่า ควรจะเพิ่มการผลิตน้ำมันในเดือนม.ค.ตามแผนที่วางไว้หรือไม่ หรือจะยังคงปรับลดกำลังการผลิตในระดับปัจจุบันต่อไป
ทั้งนี้ การประชุมโอเปกพลัสเพื่อหารือเกี่ยวกับนโยบายการผลิตนั้น จะสิ้นสุดลงในวันนี้ ซึ่งล่าช้ากว่าเดิมที่กำหนดว่าจะเสร็จสิ้นการประชุมในวันอังคารที่ 1 ธ.ค.
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ซึ่งระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 700,000 บาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 27 พ.ย. ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันสัปดาห์ที่ 2 แม้จะน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 1.7 ล้านบาร์เรลก็ตาม
รายงานของ EIA ยังระบุด้วยว่า สต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคูชิง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าของสหรัฐ ลดลง 300,000 บาร์เรล
ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 3.5 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้น 3.2 ล้านบาร์เรล