ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ลดลง 210.22 จุด หรือ 0.62% ปิดที่ 33,823.45 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ลดลง 1.84 จุด หรือ 0.04% ปิดที่ 4,221.86 จุด และดัชนีแนสแด็ก เพิ่มขึ้น 121.67 จุด หรือ 0.87% ปิดที่ 14,161.35 จุด
เฟดส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด เปิดเผยว่า กรรมการเฟดได้เริ่มหารือกันเกี่ยวกับการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE)
ทั้งนี้ เฟดส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2566 ซึ่งเร็วกว่าคาดการณ์เดิมถึง 1 ปี และเฟดคาดว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อย 2 ครั้งในปี 2566
นอกจากนี้ เฟดยังได้ปรับเพิ่มคาดการณ์เงินเฟ้อในปีนี้สู่ระดับ 3.4% ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ในเดือนมี.ค.ที่ระดับ 2.4%
หุ้นบริษัทดาว อิงค์และแคทเธอร์ พิลลาร์ดิ่งลงนำตลาด ขณะที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ร่วงลงเป็นวันที่ 2
หุ้นกลุ่ม Materials ร่วงลงในวันนี้ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ นอกจากนี้ ราคาหุ้นในกลุ่มนี้ยังถูกกดดันจากการที่จีนเตรียมระบายสต็อกโลหะ ซึ่งรวมถึงทองแดง อะลูมิเนียม และสังกะสี จากคลังสำรองแห่งชาติเพื่อสกัดราคาที่พุ่งขึ้นในประเทศ โดยการดำเนินการดังกล่าวถือเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 10 ปี และข่าวนี้ส่งผลให้ราคาสัญญาทองแดงดิ่งลง 2% ในวันนี้
หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงเช่นกัน หลังจากดีดตัวขึ้นในช่วงแรก ขานรับความหวังที่ว่าอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะช่วยหนุนตัวเลขกำไรในภาคธนาคาร ขณะเดียวกัน ดาวโจนส์ยังถูกกดดัน จากการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจในวันนี้
อย่างไรก็ดี ดัชนียังคงอยู่เหนือระดับ 0 ซึ่งบ่งชี้ว่า ภาคธุรกิจในภูมิภาคมิด-แอตแลนติกยังคงมีการขยายตัว โดยได้แรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของการจ้างงาน ที่ผ่านมา ดัชนีภาวะธุรกิจในภูมิภาคมิด-แอตแลนติกมักปรับตัวในแดนบวกนับตั้งแต่ปี 2559 ก่อนที่จะทรุดตัวสู่แดนลบในเดือนมี.ค.ปีที่แล้ว ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19