สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 2% เมื่อคืนนี้ (22 ก.ค.) ขานรับการคาดการณ์ที่ว่า อุปทานน้ำมันในตลาดโลกจะเผชิญภาวะตึงตัวเนื่องจากเศรษฐกิจในหลายประเทศเริ่มฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังคงได้ปัจจัยบวกจากการร่วงลงของสต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคูชิงในรัฐโอกลาโฮมาของสหรัฐ
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 1.61 ดอลลาร์ หรือ 2.3% ปิดที่ 71.91 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 1.56 ดอลลาร์ หรือ 2.2% ปิดที่ 73.79 ดอลลาร์/บาร์เรล
นักวิเคราะห์จากมอร์แกน สแตนลีย์กล่าวว่า แม้กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส มีมติเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันเดือนละ 400,000 บาร์เรล/วัน ตั้งแต่เดือนส.ค.จนถึงเดือนธ.ค.ปีนี้ แต่ก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้น้ำมันที่คาดว่าจะพุ่งขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยมอร์แกน สแตนลีย์คาดว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ทั่วโลกจะยังคงขยายตัวต่อเนื่องในปีนี้ ซึ่งบ่งชี้ว่าความต้องการใช้น้ำมันจะฟื้นตัวขึ้นด้วย
ทางด้านธนาคารบาร์เคลย์ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์ราคาน้ำมันในปีนี้ สู่ระดับ 69 บาร์เรล โดยระบุว่าปัจจัยอุปสงค์และอุปทานบ่งชี้ว่าราคาน้ำมันจะดีดตัวขึ้นในช่วงหลายเดือนข้างหน้า
นอกจากนี้ ภาวะการซื้อขายในตลาดยังคงได้แรงหนุนจากรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ซึ่งระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคูชิง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าของสหรัฐ ลดลง 1.4 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว แตะระดับ 36.7 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2563
ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 100,000 บาร์เรล และสต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล ลดลง 1.3 ล้านบาร์เรล แต่สต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 2.1 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 6.7 ล้านบาร์เรล
นักวิเคราะห์จากบริษัท Again Capital ในรัฐนิวยอร์กกล่าวว่า แม้สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐพุ่งขึ้นอย่างเหนือความคาดหมาย อันเนื่องมาจากการนำเข้าน้ำมันดิบที่สูงขึ้น แต่การลดลงของสต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคูชิง รวมทั้งสต็อกน้ำมันกลั่นและน้ำมันเบนซิน สะท้อนให้เห็นว่าความต้องการน้ำมันในสหรัฐยังคงปรับตัวสูงขึ้น