สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า ราคาทองฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยหลังจากร่วงลงอย่างหนักในช่วงต้นสัปดาห์นี้ แต่นักวิเคราะห์ยังคงมีมุมมองเชิงลบต่อแนวโน้มของราคาทองคำในระยะต่อไป
เมื่อเย็นวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ราคาทองคำร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือนที่ 1,677.9 ดอลลาร์/ออนซ์ และในการซื้อขายช่วงเช้าวันนี้ที่ตลาดเอเชีย ราคาทองคำอยู่ที่ราว 1,740 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งยังคงต่ำกว่าระดับสูงสุดที่ทำไว้เมื่อต้นปีนี้ที่ราว 1,900 ดอลลาร์
นักวิเคราะห์มองว่า ราคาทองร่วงลง หลังสหรัฐเปิดเผยรายงานการจ้างงานเดือนก.ค.ที่แข็งแกร่งเกินคาดในสัปดาห์ที่ผ่านมา และนักลงทุนได้รีบเข้าซื้อดอลลาร์หลังขานรับข้อมูลดังกล่าว
นายวิเวค ดาร์ นักวิเคราะห์ของคอมมอนเวลธ์ แบงก์ ออฟ ออสเตรเลียเปิดเผยในวันพุธ (11 ส.ค.) ว่า "การร่วงลงของราคาทองคำเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาอาจเกิดจากการเข้าซื้อดอลลาร์สหรัฐที่ตลาดเอเชีย และการขายทองคำ หลังสหรัฐเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานเดือนก.ค.ที่แข็งแกร่งเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว"
นายโดมินิก ชไนเดอร์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ด้านการลงทุนของยูบีเอส โกลบอล เวลธ์ แมเนจเมนต์คาดว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ปรับตัวขึ้น ทำให้ราคาทองคำปรับตัวลง
"ดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของสหรัฐที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องบ่งชี้ว่า ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวลงต่อ" นายดาร์ระบุ และคาดว่า ราคาทองคำอาจจะลดลงสู่ระดับ 1,700 ดอลลาร์/ออนซ์ภายในไตรมาสแรกของปี 2565
ขณะที่นายชไนเดอร์คาดว่า ราคาทองคำอาจร่วงลงแตะ 1,600 ดอลลาร์/ออนซ์หรือต่ำกว่านั้น
ทั้งนี้ ดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นจะลดความน่าดึงดูดของทอง โดยทำให้สัญญาทองคำมีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้ถือครองเงินสกุลอื่น ส่วนการดีดตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ จะเพิ่มต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำ เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย