คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) เปิดเผยรายงานการประชุมประจำเดือนก.ค.เมื่อวันพุธ(18ส.ค.)โดยระบุว่า กรรมการเฟดส่วนใหญ่มีความเห็นตรงกันว่า เฟดควรจะเริ่มปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในปีนี้ เมื่อพิจารณาจากการที่เศรษฐกิจฟื้นตัวเป็นวงกว้างตามที่เฟดคาดการณ์ไว้
“กรรมการเฟดส่วนใหญ่มองว่า เมื่อพิจารณาจากภาวะเศรษฐกิจที่มีการฟื้นตัวเป็นวงกว้างตามที่เฟดคาดการณ์ไว้ ก็เป็นเรื่องเหมาะสมที่เฟดจะเริ่มปรับลดวงเงินในโครงการคิวอีในปีนี้” รายงานการประชุมเฟดระบุ พร้อมกับเสริมว่า “เศรษฐกิจสหรัฐได้บรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อแล้ว และการขยายตัวของการจ้างงานก็ใกล้จะอยู่ในระดับที่น่าพอใจ”
อย่างไรก็ดี กรรมการเฟดส่วนใหญ่มีความเห็นว่า การจ้างงานยังไม่อยู่ในภาวะที่ “มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน” ซึ่งเป็นเกณฑ์สำคัญที่เฟดกำหนดไว้ก่อนที่จะพิจารณาเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
“กรรมการส่วนใหญ่ต้องการให้เฟดสื่อสารกับตลาดให้ชัดเจนว่า การปรับลดวงเงินคิวอีจะไม่เกิดขึ้นพร้อมกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ขณะเดียวกันมีกรรมการเฟดบางคนเสนอว่า เฟดควรรอจนถึงต้นปี 2565 ก่อนที่จะเริ่มปรับลดวงเงินคิวอี” เฟดระบุในรายงานการประชุมประจำวันที่ 27-28 ก.ค.
ทั้งนี้ กรรมการเฟดย้ำว่า การปรับลดวงเงินคิวอีควรต้องเกิดขึ้นก่อน และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะยังไม่เกิดขึ้นจนกว่ากระบวนการปรับลดวงเงินคิวอีจะเสร็จสิ้น และเฟดจะต้องไม่ทำให้งบดุลบัญชีของเฟดขยายตัวขึ้นอีกต่อไป
รายงานการประชุมยังบ่งชี้ว่า กรรมการเฟดส่วนใหญ่เล็งเห็นประโยชน์ของการปรับลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรรัฐบาลและปรับลดการซื้อตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (MBS) ไปพร้อมๆกัน โดยปัจจุบัน เฟดซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐวงเงิน 80,000 ล้านดอลลาร์/เดือน และซื้อตราสารหนี้เอ็มบีเอสในวงเงิน 40,000 ล้านดอลลาร์/เดือน
ส่วนประเด็นเงินเฟ้อ กรรมการเฟดตั้งข้อสังเกตว่า อัตราเงินเฟ้อได้ปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และคาดว่าจะยังคงพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ก่อนที่จะปรับตัวสู่ระดับปานกลาง
นอกจากนี้ รายงานการประชุมยังระบุด้วยว่า กรรมการเฟดได้ตระหนักถึงความเสี่ยงที่จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จะปรับตัวสูงขึ้นอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์เดลตา ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวอาจทำให้การกลับไปทำงานและการเรียนต้องถูกเลื่อนออกไป และอาจจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจด้วย