การตัดสินใจของ OPEC+ ในวันจันทร์ ที่จะเดินหน้าการเพิ่มการผลิตน้ำมันอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าราคาจะพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบหลายปี ส่วนหนึ่งได้แรงหนุนจากความกังวลว่าอุปสงค์และราคาอาจอ่อนตัวลง แม้ข้อมูลอุปทานน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้น กดดันราคาน้ำมันร่วง
.
แหล่งข่าวกล่าวว่า OPEC+ ตระหนักถึงโอกาสที่ราคาจะสามารถพลิกกลับทำกำไรได้อย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน โดยสิ่งนี้เกิดขึ้นในปี 2018 เมื่อราคาน้ำมันดิบเบรนท์ร่วงลงจากระดับ 85 ดอลลาร์ในเดือนตุลาคมเป็นต่ำกว่า 50 ดอลลาร์ภายในสิ้นปี อย่างไรก็ดี OPEC+กล่าว "กลุ่มบริษัท ต้องเผชิญกับแรงกดดันที่ต้องเพิ่มการผลิตให้เร็วขึ้น ซึ่งทางเรากลัวการระบาดไวรัสระลอก 4 ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมนี้ และอาจส่งผลต่อการส่งออกทั่วโลก"
.
ขณะที่ ราคาน้ำมันร่วงลงในเช้าวันพฤหัสบดีในเอเชีย เนื่องจากข้อมูลอุปทานน้ำมันดิบของสหรัฐฯเพิ่มขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ โดยสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันเบรนท์ลดลง 0.64% สู่ระดับ 80.56 ดอลลาร์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า WTI ร่วงลง 0.98% สู่ระดับ 76.67 ดอลลาร์
.
ตามข้อมูลของ EIA สต็อกน้ำมันดิบในเชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้น ในสัปดาห์ที่แล้ว สต็อกน้ำมันเบนซินก็พุ่งขึ้นทำให้เกิดความกังวลว่าอุปสงค์ที่อ่อนแอลง โดยข้อมูลอุปทานน้ำมันดิบของสหรัฐในวันพุธจากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐฯแสดงให้เห็นว่ามีการผลิตเพิ่มขึ้น 2.346 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์จนถึงวันที่ 1 ต.ค.
.
ข้อมูลอุปทานน้ำมันดิบจากสถาบัน American Petroleum Institute ที่เผยแพร่เมื่อวันก่อน แสดงให้เห็นว่ามีการผลิต 951,000 บาร์เรล
.
ขณะเดียวกัน ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2014 ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากวิกฤตพลังงานทั่วโลกอาจเพิ่มความต้องการในขณะที่ฤดูหนาวของซีกโลกเหนือใกล้เข้ามา Saudi Aramco (SE: 2222 ) กล่าวว่าวิกฤตการณ์ได้กระตุ้นการบริโภคแล้ว ในขณะที่มีรายงานว่าสหรัฐฯ กำลังพิจารณาการปล่อยน้ำมันสำรองฉุกเฉิน
.
อย่างไรก็ตาม “ราคาพลังงานที่สูงนั้นส่วนใหญ่เน้นที่ประเด็นด้านอุปทาน และดูเหมือนว่าราคาพลังงานดังกล่าวจะคงอยู่ต่อไปอีกไม่นานเกินฤดูหนาว” Howie Lee นักเศรษฐศาสตร์จาก Oversea-Chinese Banking Corp. กล่าวกับ Bloomberg
Updated
3 years ago
(Oct 07, 2021 13:19)