ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงในวันอังคาร โดยลดลงเป็นครั้งแรกในรอบสี่วัน แต่ยังคงยืนเหนือ $80 ท่ามกลางการฟื้นตัวของอุปสงค์ทั่วโลกซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดการขาดแคลนพลังงานในประเทศเศรษฐกิจหลัก

.

โดย ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ร่วงลง 6 เซนต์ ปิดที่ 83.59 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในเวลา 0440 GMT หลังจากแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 ปีในวันจันทร์ที่ระดับ 1.5% และราคาน้ำมันของสหรัฐร่วงลง 13 เซนต์ มาอยู่ที่ 80.39 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยเพิ่มขึ้น 1.5% ในช่วงก่อนหน้า ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี

.

ในด้าน Craig Erlam นักวิเคราะห์ตลาดอาวุโสของ OANDA กล่าวว่า "ยังคงมีแรงผลักดันอยู่เบื้องหลังการประชุมของ OPEC+ และปัจจัยพื้นฐานยังคงเป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง" “จะแปลกใจไหม ถ้าหากเราเห็นน้ำมันกลับมาเป็นตัวเลขสามหลักในปลายปีนี้ ? ” เขากล่าวเสริม

.

ราคาไฟฟ้าพุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยได้แรงหนุนจากปัญหาการขาดแคลนพลังงานในเอเชีย ยุโรป และสหรัฐอเมริกา ราคาก๊าซธรรมชาติที่พุ่งสูงขึ้นยังกระตุ้นให้เครื่องกำเนิดไฟฟ้าเปลี่ยนเชื้อเพลิงที่เผาไหม้สะอาดกว่าเป็นน้ำมัน

.

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าการเปลี่ยนมาใช้น้ำมันจากก๊าซธรรมชาติเพื่อผลิตพลังงานอาจช่วยเพิ่มความต้องการน้ำมันดิบทั่วโลกได้ระหว่าง 250,000 ถึง 750,000 บาร์เรลต่อวัน โดยในประเทศจีนกำลังเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนพลังงาน ฟิวเจอร์สถ่านหินแบบใช้ความร้อนก็พุ่งสูงขึ้นอีกครั้งในวันอังคาร โดยราคาพุ่งขึ้นมากกว่า 10% อีกทั้งทางรัฐบาลยังประกาศด้วยว่าจะเปิดเสรีตลาดพลังงานความร้อนของประเทศอย่างเต็มที่

.

ราคาพลังงานที่สูงขึ้นยังเพิ่มแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อด้านขายส่งของญี่ปุ่นอยู่ที่ระดับสูงสุดในรอบ 13 ปีในเดือนกันยายน (ข้อมูลเปิดเผยเมื่อวันอังคาร) 

.

ในด้านประเทศกาตาร์ ผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) รายใหญ่ที่สุดของโลก บอกกับลูกค้าเมื่อวันจันทร์ว่าไม่สามารถช่วยจุดประกายราคาพลังงานให้ลดลงและจัดหาเชื้อเพลิงให้กับตลาดได้มากขึ้น โดยซาอัด อัล-คาบี รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของกาตาร์ กล่าวว่า "เราเต็มที่แล้ว เท่าที่เราได้ให้ปริมาณที่เหมาะสมกับลูกค้าทั้งหมดของเรา" "ฉันไม่มีความสุขที่ราคาน้ำมันสูงขึ้น"
.
ซึ่งสถานการณ์จะเป็นอย่างไรต่อ ต้องติดตามกันต่อไป