ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (14 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของมาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั้งในสหรัฐและยุโรป ซึ่งความกังวลดังกล่าวได้บดบังปัจจัยบวกจากข่าวการอนุมัติวัคซีนต้านโควิด-19 ในสหรัฐ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 29,861.55 จุด ลดลง 184.82 จุด หรือ -0.62%
ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,647.49 จุด ลดลง 15.97 จุด หรือ -0.44% และ
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 12,440.04 จุด เพิ่มขึ้น 62.17 จุด หรือ +0.50%
ในช่วงแรกนั้น ดัชนีดาวโจนส์เคลื่อนไหวในแดนบวก ขานรับข่าวสำนักงานอาหารและยาสหรัฐ (FDA) ได้ให้การอนุมัติวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ของบริษัทไฟเซอร์ อิงค์และบริษัทไบโอเอ็นเทคเป็นกรณีฉุกเฉิน และผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐ (CDC) ได้ลงนามอนุมัติให้มีการฉีดวัคซีนของไฟเซอร์ให้กับชาวอเมริกันอย่างเป็นทางการเมื่อวานนี้
แต่ดาวโจนส์อ่อนแรงลงในเวลาต่อมา เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการใช้มาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยล่าสุด นายแอนดรูว์ คัวโม ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กได้ออกคำสั่งห้ามการรับประทานอาหารในร้านในกรุงนิวยอร์กซิตี้ โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เมื่อวานนี้ ขณะที่รัฐบาลเยอรมนีประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดตั้งแต่วันพุธที่ 16 ธ.ค. ไปจนถึงวันที่ 10 ม.ค.ปีหน้า
หุ้นวอลท์ดิสนีย์ ร่วงลง 3.6% ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ฉุดดัชนีดาวโจนส์ร่วงลง หลังจากนักวิเคราะห์ของบริษัทบีเอ็มโอ แคปิตอล มาร์เก็ตส์ ได้ปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นวอลท์ดิสนีย์ลงสู่ระดับ “market perform” จากระดับ “outperform”
หุ้น 9 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ร่วงลง นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานที่ร่วงลง 3.53% โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ดิ่งลง 3.62% หุ้นเชฟรอน ร่วงลง 3.23% หุ้นโคโนโคฟิลิปส์ ร่วงลง 2.67% หุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม ทรุดลง 8.23%
หุ้นอาลีบาบา โฮลดิ้งส์ ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหุ้นนิวยอร์ก ร่วงลง 2.63% หลังจากรัฐบาลจีนเตือนว่าจะเข้าตรวจสอบบริษัทอาลีบาบาตามกฎหมายต่อต้านการผูกขาด
อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดีดตัวขึ้น และเป็นปัจจัยหนุนดัชนี Nasdaq ปิดในแดนบวก โดยหุ้นเน็ตฟลิกซ์ พุ่งขึ้น 3.82% หุ้นแอมะซอนดอทคอม ดีดตัวขึ้น 1.3% หุ้นอินเทล พุ่งขึ้น 1.49% หุ้นเฟซบุ๊ก บวก 0.23% หุ้นไมโครซอฟท์ ปรับตัวขึ้น 0.44%
หุ้นอเล็กเซียน ฟาร์มาซูติคัลส์ (Alexion Pharmaceuticals) ซึ่งเป็นบริษัทเวชภัณฑ์ของสหรัฐ ทะยานขึ้น 29.20% หลังจากบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า ซึ่งเป็นบริษัทเวชภัณฑ์ของอังกฤษ ได้ประกาศซื้อกิจการของอเล็กเซียน ฟาร์มาซูติคัลส์
หุ้นเทสลา พุ่งขึ้น 4.89% เนื่องจากนักลงทุนยังคงขานรับข่าวหุ้นของบริษัทเทสลาที่จะได้รับการคำนวณในดัชนี S&P 500 ในวันที่ 21 ธ.ค.นี้
นักลงทุนจับตาความคืบหน้าในการเจรจามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐ ขณะที่สื่อต่างประเทศรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า สมาชิกพรรครีพับลิกันและเดโมแครตได้เห็นพ้องที่จะแยกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 9.08 แสนล้านดอลลาร์ออกเป็นร่างกฎหมาย 2 ฉบับเพื่อเพิ่มโอกาสในการได้รับการอนุมัติจากสภาคองเกรส โดยฉบับแรกจะมีวงเงิน 7.48 แสนล้านดอลลาร์เพื่อเยียวยาผู้ที่ตกงานและธุรกิจขนาดย่อมที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ขณะที่อีกฉบับหนึ่งจะมีวงเงิน 1.60 แสนล้านดอลลาร์เพื่อให้ความช่วยเหลือมลรัฐต่างๆ
นอกจากนี้ นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 15-16 ธ.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า เฟดจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0.00-0.25% แต่อาจมีการเปลี่ยนแปลงวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) จากปัจจุบันที่ระดับ 8 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ราคานำเข้าและส่งออกเดือนพ.ย., ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Manufacturing Index) เดือนธ.ค.จากเฟดนิวยอร์ก, การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ย., ยอดค้าปลีกเดือนพ.ย., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นเดือนธ.ค.จากมาร์กิต, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นต้นเดือนธ.ค.จากมาร์กิต, สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนต.ค., ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนธ.ค.จากสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีการผลิตเดือนธ.ค.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย, ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนพ.ย. และดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนพ.ย.จาก Conference Board