สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 4 เมื่อคืนนี้ (17 ธ.ค.) และทำสถิติปิดที่ระดับสูงสดในรอบกว่า 9 เดือน โดยได้แรงหนุนจากความคืบหน้าในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐ
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 54 เซนต์ หรือ 1.1% ปิดที่ 48.36 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 26 ก.พ.ปีนี้
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 42 เซนต์ หรือ 0.8% ปิดที่ 51.50 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 3 มี.ค.ปีนี้
นักวิเคราะห์จากบริษัทโอแอนดา ในรัฐนิวยอร์กกล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา ราคาน้ำมันได้รับแรงหนุนจากความคืบหน้าในการพัฒนาวัคซีนต้านโควิด-19 รวมทั้งสต็อกน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลง และอุปสงค์ในภูมิภาคเอเชียที่ยังคงแข็งแกร่ง และในขณะนี้ราคาน้ำมันได้รับปัจจัยบวกจากความหวังเกี่ยวกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐ ซึ่งหากสภาคองเกรสในการอนุมัติมาตรการดังกล่าว ก็อาจเป็นปัจจัยหนุนให้ราคาน้ำมัน WTI พุ่งขึ้นแตะระดับ 50 ดอลลาร์/บาร์เรล
นายมิตช์ แมคคอนเนลล์ ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภาสหรัฐ กล่าวว่า แกนนำในสภาคองเกรสมีความคืบหน้าในการเจรจาเกี่ยวกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเยียวยาประชาชนและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รวมทั้งการออกกฎหมายงบประมาณชั่วคราวเพื่อหลีกเลี่ยงการปิดหน่วยงานของรัฐบาลอันเนื่องจากการขาดแคลนงบประมาณ (ชัตดาวน์)
ทั้งนี้ หากสภาคองเกรสไม่สามารถบรรลุข้อตกลง ก็จะทำให้หน่วยงานของรัฐบาลเผชิญภาวะชัตดาวน์ในวันที่ 19 ธ.ค. และชาวอเมริกันที่ตกงานจะไม่ได้รับเงินชดเชยจากสวัสดิการว่างงานในวันที่ 26 ธ.ค.
ความคืบหน้าในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐได้ช่วยสกัดปัจจัยลบต่างๆ ซึ่งรวมถึงการที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) คาดการณ์ว่า การขยายตัวของอุปสงค์น้ำมันในตลาดโลกปี 2564 จะอยู่ที่ 5.9 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งลดลง 350,000 บาร์เรล/วันจากตัวเลขคาดการณ์ก่อนหน้านี้ พร้อมกับคาดการณ์ว่า อุปสงค์น้ำมันในตลาดโลกปี 2563 จะอยู่ที่ 89.99 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งลดลง 9.77 ล้านบาร์เรล/วันจากตัวเลขคาดการณ์ก่อนหน้านี้