เมื่อวันพุธ (6 เมษายน 65) ที่ผ่านมา ตลาดถูกกดดันอย่างหนักจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ประกอบกับความกังวลในเรื่องของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ย ส่งผลให้สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กเมื่อวานนี้ปิดลบ
สัญญาทองคำ โลหะเงิน ทองคำขาว และแพลเลเดียม ต่างก็ได้รับผลกระทบ ทำให้มีการปรับตัวลดลง โดยมีรายละเอียด ดังนี้
- สัญญาทองคำ ตลาด COMEX (Commodity Exchange) รอบส่งมอบเดือนมิถุนายน ลดลง 4.4 ดอลลาร์ หรือ 0.23% ปิดที่ 1,923.1 ดอลลาร์/ออนซ์
- สัญญาโลหะเงิน รอบส่งมอบเดือนพฤษภาคม ลดลง 7.6 เซนต์ หรือ 0.31% ปิดที่ 24.458 ดอลลาร์/ออนซ์
- สัญญาทองคำขาว รอบส่งมอบเดือนกรกฎาคม ลดลง 20 ดอลลาร์ หรือ 2.06% ปิดที่ 953.1 ดอลลาร์/ออนซ์
- สัญญาพัลลาเดียม รอบส่งมอบเดือนมิถุนายน ลดลง 50.60 ดอลลาร์ หรือ 2.3% ปิดที่ 2,184.70 ดอลลาร์/ออนซ์
การปรับตัวลงของสัญญาทองคำในครั้งนี้มีเหตุผลมาจากสัญญาณ Inverted Yields Curve หรือก็คือ อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรระยะสั้นสูงกว่าพันธบัตรระยะยาว ซึ่งเมื่อคืนที่ผ่านมา อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรอายุ 10 ปี ได้พุ่งขึ้นเหนือระดับ 2.65% ส่งผลให้มีการเพิ่มต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำ เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย
เหตุผลถัดมา คือ ความกังวลในเรื่องธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ส่งผลให้ตลาดทองคำได้รับแรงกดดันอย่างมาก
เลล เบรนาร์ด สมาชิกสภาผู้ว่าการของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) กล่าวว่า เฟดควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างเป็นระบบ และเร่งปรับลดขนาดงบดุลจากระดับสูงเกือบ 9 ล้านล้านดอลลาร์ โดยเริ่มตั้งแต่เดือนหน้า พร้อมกับกล่าวว่า ขณะนี้เงินเฟ้ออยู่ในระดับที่สูงเกินไป และการชะลอเงินเฟ้อถือเป็นภารกิจที่มีความสำคัญอย่างมาก
ขณะที่ คริสตินา ฮูเปอร์ นักวิเคราะห์จากบริษัทอิสเวสโค กล่าวว่า การแสดงความเห็นของ เลล เบรนาร์ด ในครั้งนี้ทำให้ตลาดเกิดความวิตกกังวลว่า เฟดอาจเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระดับที่รุนแรงมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง หรืออาจเข้าสู่ภาวะถดถอย และเมื่อถึงเวลานั้น เฟดอาจเผชิญกับความยากลำบากในการพยุงเศรษฐกิจ
จากการออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนี้ ส่งผลให้นักลงทุนจำนวนมากจับตามองรายงานการประชุมเฟดที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด และมีการคาดการณ์ว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมทั้งในเดือนพฤษภาคม และมิถุนายน ที่จะถึงนี้
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังต้องติดตามการประชุมเฟดเกี่ยวกับการปรับอัตราดอกเบี้ยในอนาคต และสัญญาณอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรระยะสั้นสูงกว่าระยะยาว รวมถึงปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่อาจจะส่งผลต่อตลาด เช่น สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยังคงมีความไม่แน่นอน เป็นต้น
