ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นในวันศุกร์ (13 พ.ค.) เนื่องจากความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ และการล็อกดาวน์ของจีนจากโควิด-19 ที่ชะลอการเติบโตทั่วโลก และความกังวลเกี่ยวกับอุปทานเชื้อเพลิงที่ลดลงจากรัสเซีย
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ เพิ่มขึ้น 1.81 ดอลลาร์ หรือ 1.7% อยู่ที่ 109.26 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 1.55 ดอลลาร์ หรือ 1.5% อยู่ที่ 107.68 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
อย่างไรก็ตาม สัญญาเปรียบเทียบทั้งสองของราคาน้ำมัน อยู่ในทิศทางแนวโน้มการลดลงในสัปดาห์นี้ โดยเบรนท์คาดว่าจะลดลงเกือบ 3% และ WTI เกือบ 2%
ตลาดยังคงถูกกดดัน โดยคาดว่าสหภาพยุโรปจะยุติความต้องการส่งออกน้ำมันของรัสเซียที่ตึงตัว และความกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์ทั่วโลกที่ซบเซา
Stephen Innes หุ้นส่วนผู้จัดการ ด้านการจัดการสินทรัพย์ของ SPI กล่าวว่า ผู้ค้าน้ำมันคาดหวังให้จีน ยุติการล็อกดาวน์ทั้งเมือง เนื่องจากส่งผลให้ความต้องการน้ำมันซบเซาลง
อัตราเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยที่พุ่งสูงขึ้น ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ พุ่งขึ้น แตะระดับสูงสุดในรอบ 20 ปี ซึ่งทำให้ราคาน้ำมันขยับขึ้นได้ เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น ทำให้น้ำมันมีราคาแพงขึ้นเมื่อซื้อในสกุลเงินอื่น
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ยังคงให้ความสำคัญกับโอกาส ที่สหภาพยุโรปจะห้ามใช้น้ำมันของรัสเซีย หลังจากที่มอสโกได้กำหนดมาตรการคว่ำบาตรในสัปดาห์นี้ ต่อหน่วยงานของรัฐในแถบยุโรปของ Gazprom และหลังจากที่ยูเครนหยุดเส้นทางขนส่งก๊าซหลัก
เจฟฟรีย์ ฮัลลีย์ นักวิเคราะห์ตลาดอาวุโสของ OANDA กล่าวในหมายเหตุว่า “ด้วยราคาก๊าซธรรมชาติในยุโรปที่พุ่งสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการรั่วไหลของน้ำมันเกิดขึ้น”
“การเพิ่มขึ้นของการคว่ำบาตรสำหรับรัสเซีย มีแนวโน้มที่จะส่งผลให้เกิดความแข็งแกร่งของราคาน้ำมัน” เขากล่าวเสริม
รายงานของสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ กล่าวว่า การผลิตน้ำมันที่เพิ่มขึ้นในตะวันออกกลาง และสหรัฐอเมริกา และปัญาการเติบโตของอุปสงค์ที่ชะลอตัวนั้น จะช่วยบรรเทาปัญหาด้านอุปทานของน้ำมันจากการคว่ำบาตรจากรัสเซีย ผลผลิตจากรัสเซียอาจจะลดลงเกือบ 3 ล้านบาร์เรลต่อวัน (bpd) ตั้งแต่เดือนก.ค. หรือประมาณ 3 เท่าของปริมาณที่ส่งออกในปัจจุบัน หากการคว่ำบาตร สำหรับการทำสงครามกับยูเครนขยายออกไป