ทองฟื้นคืนชีพวานนี้ ! หลังพุ่งขึ้น 1,800 จุด จาก Low $1,836 มาที่ High $1,855 อานิสงส์ดอลลาร์พักตัว จากความหวังเงินเฟ้อใกล้ผ่านจุดพีค อย่างไรก็ตามปัจจุบันราคาทองคำได้ปรับตัวลงมาที่ $1,846 ณ เวลาที่เขียน

ดัชนีดอลลาร์ อ่อนค่าลง 0.08% สู่ระดับ 102.3080 เนื่องจากนักลงทุนลดการถือครองดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นสกุลเงินปลอดภัย และเข้าซื้อสกุลเงินที่เป็นสินทรัพย์เสี่ยงที่สามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่า เช่น ดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD/USD) และปอนด์ (GBP/USD)

เงินปอนด์แข็งค่าขึ้น หลังจากนายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ รอดพ้นมติไม่ไว้วางใจในพรรคอนุรักษ์นิยมของตนเองเมื่อวันจันทร์ (6 มิ.ย.) 

ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.50% สู่ระดับ 0.85% ในการประชุมเมื่อวานนี้ ซึ่งมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ว่า RBA จะปรับขึ้นดอกเบี้ยราว 0.25% หรือ 0.40%

Bond Yield 10 ปี ร่วงลงสู่ระดับ 2.971% เมื่อคืนนี้ จากระดับสูงสุดในรอบ 3-1 / 2 สัปดาห์ที่ 3.064% หลังจาก Target Corp. ระบุถึงสินค้าคงคลังส่วนเกินและกล่าวว่าจะลดราคาสินค้าเพื่อระบายสินค้าคงคลัง ซึ่งกระตุ้นคาดการณ์อัตราเงินเฟ้ออาจพ้นจุดพีคไปแล้ว

ธนาคารโลก ออกมารายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลกในวันนี้ โดยได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้สู่ระดับ 2.9% จากเดิมที่ระดับ 4.1% โดยได้รับผลกระทบจากการที่รัสเซียส่งกำลังทหารบุกโจมตียูเครน ซึ่งได้ซ้ำเติมความเสียหายที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโควิด-19

โกลด์แมน แซคส์ ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบเบรนท์สู่ระดับ 135 ดอลลาร์/บาร์เรล สำหรับช่วงเวลาตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2565 จนถึงครึ่งแรกของปี 2566 โดยได้แรงหนุนจากภาวะตึงตัวในตลาด

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐ (CDC) ประกาศยกระดับเตือนภัยการแพร่ระบาดของโรคฝีดาษลิง หลังพบว่าจำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกพุ่งขึ้นมากกว่า 1,000 ราย

อย่างไรก็ตาม แม้ปัจจัยต่าง ๆ จะหนุนราคาทองคำฟื้นตัวพุ่งขึ้น แต่ในด้านนางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ได้เข้าชี้แจงต่อสภาคองเกรสโดยระบุว่า สหรัฐได้เผชิญกับภาวะเงินเฟ้อในระดับสูงอย่างที่ยอมรับไม่ได้ ทำให้มีความจำเป็นในการใช้มาตรการทางการคลังที่เหมาะสมในการสกัดแรงกดดันจากเงินเฟ้อโดยไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวได้สกัดช่วงบวกทอง

รวมทั้งกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยในวันนี้ว่า ตัวเลขขาดดุลการค้าสหรัฐลดลง 19.1% สู่ระดับ 8.71 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนเม.ย. หลังจากพุ่งแตะระดับ 1.098 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์

ดัชนีดาวโจนส์ปิดเพิ่มขึ้น 264.36 จุด หรือ +0.80%, ดัชนี S&P500 ปิด +0.95% และดัชนี Nasdaq ปิด +0.94% นำโดยการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่ชะลอตัวลงสู่ระดับต่ำกว่า 3%

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรติดตามทิศทางนโยบายทางการเงินของเฟดอย่างใกล้ชิด และสถานการณ์ความรุนแรงของสงคราม รวมถึงมีการบริหารความเสี่ยงพอร์ตการลงทุนให้ดี ขอให้โชคดีครับ

Source: CNBC, SPDR, Kitco, Investing,  Reuters, Bloomberg, Fxstreet