ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (22 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับการกลายพันธุ์ของไวรัสโควิด-19 ในอังกฤษ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐ ซึ่งรวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ดิ่งลงสู่ระดับต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ โดยปัจจัยลบเหล่านี้ได้บดบังข่าวดีจากการที่สภาคองเกรสสหรัฐบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 9 แสนล้านดอลลาร์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 30,015.51 จุด ลดลง 200.94 จุด หรือ -0.67%
ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,687.26 จุด ลดลง 7.66 จุด หรือ -0.21%
ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 12,807.92 จุด เพิ่มขึ้น 65.40 จุด หรือ +0.51%
บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กยังคงได้รับแรงกดดันจากข่าวการพบไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์ที่แพร่เชื้อรวดเร็วกว่าเดิมในอังกฤษ ซึ่งทำให้ประเทศต่างๆกว่า 40 ประเทศทั้งในยุโรป เอเชีย และตะวันออกกลาง ได้ออกมาตรการจำกัดการเดินทางจากอังกฤษ ขณะที่รายงานล่าสุดระบุว่า รัฐบาลสหรัฐกำลังพิจารณาออกกฎข้อบังคับให้ผู้โดยสารทุกคนที่เดินทางมาจากอังกฤษต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ภายใน 72 ชั่วโมงก่อนออกเดินทาง
ความวิตกกังวลเกี่ยวกับข่าวการกลายพันธุ์ของไวรัสโควิด-19 ได้บดบังปัจจัยบวกจากรายงานที่ว่า สภาคองเกรสได้บรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 9 แสนล้านดอลลาร์เพื่อเยียวยาประชาชนและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 นอกจากนี้ สภาคองเกรสยังได้อนุมัติร่างกฎหมายงบประมาณวงเงิน 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ที่จะทำให้หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐสามารถเปิดดำเนินการต่อไปจนถึงวันที่ 30 ก.ย.2564
หุ้น 9 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปรับตัวลง นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานที่ร่วงลง 1.74% หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยหุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ ดิ่งลง 2.93% หุ้นเชฟรอน ร่วงลง 2% หุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 1.69%