ราคาทองคำเมื่อวานนี้ปิดปรับตัวลดลง 10.84 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวนอย่างมากจากผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) โดยราคาทองคำทะยานขึ้นก่อน หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ มีมติ “ขึ้น” อัตราดอกเบี้ย 75 bps สู่ระดับ 3.75-4.00% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่มกราคม 2008 สอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาด ขณะที่แถลงการณ์หลังการประชุม (FOMC Statement) ส่งสัญญาณว่า เฟดอาจเพิ่มอัตราดอกเบี้ย “ในอัตราที่ชะลอตัวลง” ด้วยการระบุว่า เฟดจะคำนึงถึงการคุมเข้มนโยบายการเงินสะสม รวมไปถึงความล่าช้าที่นโยบายการเงินส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ, อัตราเงินเฟ้อ และพัฒนาการทางเศรษฐกิจและการเงิน ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันดัชนีดอลลาร์ และหนุนให้ราคาทองคำให้พุ่งขึ้นทดสอบระดับสูงสุดบริเวณ 1,669.06 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่ราคาทองคำจะร่วงลงแรงในทันทีที่ Press Conference ของ เจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดเริ่มต้นขึ้น ทั้งนี้ พาวเวลล์ ส่งสัญญาณในเชิง Hawkish มากกว่าที่ตลาดคาด โดยระบุว่า ภารกิจของเฟดในการต่อสู้กับเงินเฟ้อ “ยังไม่เสร็จสิ้น” เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับที่สูงมาก ขณะที่ระดับ “อัตราดอกเบี้ยสูงสุด” นั้นสูงกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ อีกทั้ง "ยังเร็วเกินไป" ที่จะคิดเกี่ยวกับการหยุดการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นการชั่วคราว (Pause) เมื่อเผชิญกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจุดยืนดังกล่าวหนุนให้ดัชนีดอลลาร์กลับมาพุ่งขึ้นทดสอบระดับสูงสุดในรอบกว่า 1 สัปดาห์ ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีเพิ่มขึ้น 4 bps สู่ระดับ 4.09% จนเป็นที่มาสำคัญที่กดดันให้ทองคำดิ่งลงแรงกว่า 30 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากระดับสูงสุดในระหว่างวันสู่ระดับต่ำสุดบริเวณ 1,633.40 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ด้านกองทุน SPDR ถือครองทองคำไม่เปลี่ยนแปลง สำหรับวันนี้จับตาผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) และการเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน และดัชนี PMI ภาคการบริการของสหรัฐฯ
เจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้จัดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมนโยบายการเงินในวันพุธ (2 พฤศจิกายน 2022) โดยกล่าวว่า "ภารกิจของเฟดในการต่อสู้กับเงินเฟ้อยังไม่เสร็จสิ้น เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับที่สูงมาก และข้อมูลที่เฟดได้รับนับตั้งแต่การประชุมครั้งที่แล้วยังบ่งชี้ว่า เฟดอาจต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยใน ระดับสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ และผมมองว่าขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงการยุติวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย" "เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงมีโอกาสที่จะหลีกเลี่ยงภาวะถดถอยในช่วงเวลาที่เฟดปรับขึ้นอัตราเพื่อสกัดเงินเฟ้อ แต่โอกาสที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป หรือซอฟต์แลนดิ้ง (soft landing) นั้น มีน้อยลง เนื่องจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อชะลอตัวอย่างเชื่องช้า" เจอโรม พาวเวลล์กล่าว
ผลการสำรวจของ Reuters/Ipsos พบว่า คะแนนความนิยมของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ได้กระเตื้องขึ้น ในช่วงเข้าสู่โค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งกลางเทอมในสัปดาห์หน้า ทั้งนี้ ผลการสำรวจพบว่า ชาวอเมริกัน 40% มีความพึงพอใจต่อการทำงานของปธน.ไบเดน โดยสูงกว่าระดับ 39% ที่มีการสำรวจเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อย่างไรก็ดี คะแนนความพึงพอใจดังกล่าว ยังคงใกล้เคียงกับระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ที่ปธน.ไบเดนเคยได้รับในเดือนพฤษภาคม และมิถุนายน ซึ่งในขณะนั้น เขาได้รับคะแนนความพึงพอใจเพียง 36% นอกจากนี้ การที่ชาวอเมริกันจำนวนมากมีความไม่พึงพอใจต่อการทำงานของปธน.ไบเดน ก็ทำให้มีการคาดการณ์ว่า พรรคเดโมแครตจะพ่ายแพ้พรรครีพับลิกันในการเลือกตั้งกลาง เทอมในวันที่ 8 พฤศจิกายน
สเตฟาน ดูจาร์ริค โฆษกของ อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ (UN) กล่าวว่า กูเตอร์เรส แสดงความยินดีต่อการที่รัสเซียประกาศให้ความร่วมมือในการส่งออกธัญพืชของยูเครนอีกครั้ง หลังถอนตัวไปก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ ดูจาร์ริคกล่าวว่า กูเตอร์เรสยังคงมีความมุ่งมั่นที่จะผลักดันการขยายเวลาของข้อตกลงการส่งออกธัญพืชยูเครน ก่อนที่ข้อตกลงดังกล่าวจะครบกำหนดในวันที่ 19 รวมทั้งสนับสนุนให้มีการส่งออกอาหารและปุ๋ยจากรัสเซีย
Automatic Data Processing, Inc. (ADP) เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 239,000 ตำแหน่งในเดือนตุลาคม สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 195,000 ตำแหน่งจากระดับ 192,000 ตำแหน่งในเดือนกันยายน ภาคบริการมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 247,000 ตำแหน่งในเดือนตุลาคม ขณะที่ภาคการผลิตมีการจ้างงานลดลง 8,000 ตำแหน่ง
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 500 จุดในวันพุธ (2 พฤศจิกายน 2022) หลังจาก เจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ส่งสัญญาณว่า เฟดจะเดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ยเชิงรุกต่อไป เนื่องจากเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับที่สูงมาก ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 32,147.76 จุด ร่วงลง 505.44 จุด หรือ -1.55%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,759.69 จุด ลดลง 96.41 จุด หรือ -2.50% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 10,524.80 จุด ดิ่งลง 366.05 จุด หรือ -3.36%
คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.75% สู่ระดับ 3.75-4.00% ในการประชุมวันนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2551 การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว เป็นไปตามที่ตลาดการเงินคาดการณ์ไว้ โดยเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 6 ในปีนี้ และเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% เป็นครั้งที่ 4 ติดต่อกัน หลังจากปรับขึ้น 0.75% ในเดือนมิถุนายน, กรกฎาคมและกันยายน นอกจากนี้ เฟดระบุว่า มีความจำเป็นที่เฟดต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป เพื่อสกัดเงินเฟ้อ แต่เฟดจะพิจารณาถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ขณะที่ทำการตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคต ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในอัตราที่ต่ำลงในการประชุมเดือนธันวาคม ทั้งนี้ แถลงการณ์ของเฟดระบุว่า "คณะกรรมการ FOMC คาดการณ์ว่า การปรับขึ้นเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยที่กำลังดำเนินอยู่จะมีความเหมาะสม เพื่อให้บรรลุจุดยืนนโยบายการเงินที่มีความเข้มงวดเพียงพอที่จะทำให้เงินเฟ้อกลับสู่ระดับ 2% ซึ่งในการตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราการปรับขึ้นดอกเบี้ยในอนาคตนั้น เฟดจะพิจารณารวมถึงการคุมเข้มสะสมของนโยบายการเงิน, ความล่าช้าที่นโยบายการเงินส่ง ผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ รวมทั้งพัฒนาการด้านเศรษฐกิจและการเงิน"
List of content
FXtoday.news เป็นเพียงเว็บไซต์ที่นำเสนอข่าวสาร และให้ความรู้เกี่ยวกับตลาดทางการเงิน โดยไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อชักนำหรือเชิญชวน ในการลงทุนแต่อย่างใด โดยจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายใด ๆ ที่เกิดจากการพึ่งพาข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้ รวมถึงข่าวการตลาด การวิเคราะห์ สัญญาณการซื้อขาย และบทวิจารณ์
