เมื่อวันศุกร์ (10 กุมภาพันธ์ 66) ที่ผ่านมา ราคาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบ เนื่องจากได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ราคาทองคำปรับตัวลงลงไปเทส Low ที่ $1,851.80 ก่อนจะปิดตัวที่ $1,865.14 ด้านกองทุน SPDR ถือทองคำ 920.79 ตัน ไม่เปลี่ยนแปลง

การปรับตัวลดลงของราคาทองคำในครั้งนี้ได้รับปัจจัยกดดันมาจาก 2 ส่วนหลัก คือ 1) การแข็งค่าของเงินดอลลาร์ ซึ่งได้รับอิทธิพลจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ปรับตัวขึ้นแตะ 66.4 จุด บ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่มีต่อสถานะทางเศรษฐกิจของประเทศและศักยภาพในการใช้จ่ายของประชากรเพิ่มขึ้น และ 2) การปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับสูงสุดในรอบ 5 สัปดาห์ที่ 3.74%

ส่วนปัจจัยหนุนยังคงอยู่ที่สถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน เนื่องจากรัสเซียมีการยกระดับการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของยูเครนด้วยขีปนาวุธนำวิถีต่อต้านอากาศยานที่มากถึง 35 ลูก

ปัจจัยทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่น่าติดตาม

ส่วนปัจจัยทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่น่าติดตาม มีดังนี้

1) ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สาขาแอตแลนตา เปิดเผยแบบจำลอง GDPNow ล่าสุด ซึ่งบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัว 2.2% ใน Q1/66 สูงกว่าระดับ 2.1% ที่มีการเปิดเผยก่อนหน้านี้

2) ม.มิชิแกน เปิดเผยผลสำรวจความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ สูงกว่าคาดในเดือนกุมภาพันธ์ โดยดีดตัวขึ้นสู่ระดับ 66.4 สูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 65.1 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ดีดตัวขึ้นสู่ระดับ 72.6 แต่ดัชนีความเชื่อมั่นในช่วง 6 เดือนข้างหน้าปรับตัวลงสู่ระดับ 62.3 ทั้งนี้ ผู้บริโภคคาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 4.2% ในช่วง 1 ปีข้างหน้า สูงกว่าระดับ 3.9% ในการสำรวจเดือนที่แล้ว

3) ธนาคารกลางรัสเซียประกาศคงดอกเบี้ยที่ 7.5% ในการประชุมวันนี้ ตามการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ เนื่องจากการขาดดุลงบประมาณที่เพิ่มขึ้น การขาดแคลนแรงงาน และการอ่อนค่าของรูเบิลได้สร้างความเสี่ยงต่อการเกิดเงินเฟ้อ

จากข้างต้น จะเห็นได้ว่าการฟื้นตัวของเงินดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลได้กดดันสินทรัพย์ส่วนใหญ่ที่ไม่ให้ผลตอบแทน ซึ่งรวมถึงทองคำ และเมื่อประกอบกับปัจจัยอื่น ๆ ก็ยิ่งทำให้ทองคำปิดลบในวันศุกร์ที่ผ่านมา 

อย่างไรก็ดี นักลงทุนค่อนข้างให้ความสำคัญในการจับตารายงานราคาผู้บริโภค (CPI) ที่จะประกาศในวันพรุ่งนี้ (14 กุมภาพันธ์ 66) ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดระดับเงินเฟ้อ และถ้อยแถลงของ Bowman คณะกรรมการ FOMC

ส่วนตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจที่น่าจับตามองในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ดัชนียอดค้าปลีก ดัชนีภาคการผลิตอุตสาหกรรม สินค้าคงคลังในระบบธุรกิจ ใบอนุญาตก่อสร้าง จำนวนที่อยู่อาศัยเริ่มสร้าง ดัชนีภาคการผลิตจากธนาคารกลางรัฐฟิลาเดลเฟีย และตัวเลขการนำเข้าและการส่งออก

ดังนั้น เราจึงขอแนะนำให้นักลงทุนเปิดสถานะขายทำกำไรในระยะสั้น เมื่อราคาปรับตัวขึ้นจนไม่สามารถยืนเหนือโซนแนวต้าน ตัดการขาดทุน (Stop Loss) เมื่อราคาผ่านบริเวณแนวต้านไปแล้ว และทยอยปิดสถานะขายทำกำไร หากราคาไม่หลุดแนวรับ รวมถึงติดตามข่าวสารต่าง ๆ และถ้อยแถลงที่สำคัญของเฟด ซึ่งอาจส่งผลต่อการปรับตัวของอัตราดอกเบี้ยต่อไป