สัปดาห์ก่อนสุดท้ายของเดือนธันวาคมปี 2020 เปิดฉากขึ้นด้วยการอ่อนมูลค่าลงของบางสกุลเงินและตลาดหุ้นสหรัฐฯ แต่ไม่นานนักตลาดลงทุนก็สามารถกลับมาเป็นบวกได้ นำไปสู่ความสงสัยของนักลงทุนในตลาดว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ตลาดหุ้นร่วงลงก่อนหน้านี้ ทันทีที่เปิดตลาดซื้อขายหุ้นในนิวยอร์ก ดัชนีดาวโจนส์ก็ปรับตัวลดลงทันที 400 จุดแต่สามารถกลับขึ้นมาปิดบวกได้เล็กน้อย ดอลลาร์สหรัฐเปิดตลาดด้วยการแข็งค่าแต่สุดท้ายแล้วก็กลับลงไปที่เดิม ปัจจัยที่ทำให้เกิดความผันผวนในตลาดหุ้นและสกุลเงินดอลลาร์มีหลักๆ ประเด็นเดียวนั่นก็คือตลาดแสดงความยินดีที่ได้เห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า $900,000 ล้านเหรียญสหรัฐที่จะช่วยต่อลมหายใจของชาวอเมริกันนับล้านที่เจอผลกระทบจากการว่างงาน แต่ข่าวร้ายก็คือข่าวดีนี้กลับไม่สามารถพาตลาดหุ้นให้ฟื้นตัวกลับไปเป็นบวกได้อย่างมีนัยสำคัญเพราะปัจจัยกดดันมีอิทธิพลกับตลาดมากกว่าข่าวดี
ข่าวที่กำลังส่งผลกดดันต่อตลาดหุ้นมากที่สุดในเวลานี้คือการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่พบทางตอนใต้ของสหราชอาณาจักร จากรายงานล่าสุดของนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสันแห่งสหราชอาณาจักรเผยว่าไวรัสกลายพันธุ์ตัวใหม่สามารถแพร่ได้เร็วกว่าเชื้อโควิดเดิมถึง 70% ด้วยความน่ากลัวของโควิดสายพันธุ์ใหม่นี้จึงทำให้รัฐบาลของสหราชอาณาจักรประกาศเพิ่มมาตรการคุมเข้มทั่วทั้งประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกรุงลอนดอน การยกระดับมาตรการคุมเข้มขึ้นมาถึงระดับสี่ทำให้ประชาชนไม่สามารถออกจากบ้านตัวเองได้ยกเว้นแต่ว่าจะมีเรื่องสำคัญจริงๆ ธุรกิจที่ไม่ได้ขายสินค้าที่จำเป็นต่อการอุปโภคบริโภคล้วนแล้วแต่ถูกสั่งปิดทั้งหมด หลายๆ ประเทศอย่างเช่นเยอรมัน ฝรั่งเศส และแคนาดาต่างมีคำสั่งห้ามใ้เที่ยวบินจากสหราชอาณาจักรเข้าประเทศของตน การกลายพันธุ์ของเชื้อโควิดนี้ทำให้สหราชอาณาจักรไม่มีเวลามาสนใจเรื่องการเจรจา Brexit อีก เพิ่มความเสี่ยงที่จะได้เห็น Brexit แบบไม่ทำสนธิสัญญาใดๆ มากขึ้น ทั้งหมดนี้คือสาเหตุว่าทำไมสกุลเงินปอนด์จึงถูกเทขายอย่างหนักเมื่อวานนี้เช่นเดียวกันกับยูโรและอาจทำให้นักลงทุนหันกลับไปถือดอลลาร์สหรัฐในฐานะสกุลเงินสำรองที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย
ในแง่ของการลงทุน คำถามสำคัญที่น่าสงสัยก็คือว่านักลงทุนในตลาดมีความกังวลกับข่าวการกลายพันธุ์ของโควิด-19 นี้บ้างหรือไม่ สำหรับคนภายนอกนั้นตอนนี้สื่อทั่วโลกได้ประโคมข่าวการกลับมาของโควิดในช่วงคริสต์มาสนี้อย่างน่ากลัว รัฐบาลหลายๆ ประเทศยังไม่สามารถจัดการควบคุมได้และต้องยอมทิ้งภาคการท่องเที่ยวไป แต่หากดูจากการฟื้นตัวของตลาดหุ้น ดูเหมือนว่านักลงทุนจะไม่สนใจกับข่าวเหล่านี้เลย เป็นไปได้ที่พวกเขาจะคิดว่า “ก็มีวัคซีนแล้วยังจะต้องกลัวอะไรอีก” แต่ความจริงก็คือวัคซีนที่มานั้นยังใหม่มากและความเร็วในการแจกจ่ายวัคซีนในลอตแรกนั้นก็ยังไม่เร็วพอที่จะต่อกรกับความเร็วในการแพร่ระบาด ยังต้องใช้เวลาอีกสักระยะกว่าจะเริ่มเห็นผลว่าวัคซีนจะสามารถทำให้ยอดผู้ติดเชื้อลดลงอย่างมีนัยสำคัญได้มากน้อยแค่ไหน จนกว่าจะถึงตอนนั้นมูลค่าของดอลลาร์สหรัฐอาจสูงขึ้นในฐานะสกุลเงินที่เป็นสินทรัพย์สำรอง
เรื่องสุดท้ายที่เราอยากจะพูดถึงก็คือวิธีการลงทุนในสองสัปดาห์สุดท้ายที่เหลือของปีนี้ กระแสเงินลงทุนของตลาดในทุกๆ สิ้นปีมักจะลดลงเป็นอย่างมากในตลาดที่เปิดให้มีการซื้อขาย ปี 2020 ที่กำลังจะผ่านไปถือเป็นปีที่ทำร้ายดอลลาร์สหรัฐอย่างรุนแรงแต่ตลาดหุ้นของอเมริกากลับสามารถขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลใหม่ได้อย่างน่าประหลาดใจ หากเหล่าผู้จัดการกองทุนต้องการที่จะปรับสมดุลของพอร์ตตัวเองเพื่อเตรียมตัวพักผ่อนในช่วงปีใหม่ สิ่งที่พวกเขาจะทำคือการขายหุ้นออกซึ่งจะทำให้ดอลลาร์อ่อนมูลค่าลง ที่สำคัญหลังจากวันคริสต์มาสอีฟไปแล้วไม่ควรจะลงทุนในตลาดอีกจนกว่าจะผ่านช่วงปีใหม่ไปเพราะปริมาณการซื้อขายจะเบาบางลงจนแทบเหมือนกับว่าไม่มีใครอยู่ในตลาด
ถึงจะใกล้เป็นวันหยุดแล้ว แต่รายงานตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ ก็ยังมีออกมาให้จับตามองกันอยู่ คนที่ยังไม่สามารถเคลียร์พอร์ตการลงทุนของตนได้ควรจะสนใจการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในวันนี้อย่างเช่น รายงานตัวเลข GDP ในไตรมาสที่ 3 แบบปรับแต่งตัวเลขแล้ว ตัวเลขยอดขายที่อยู่อาศัยมือสอง ตัวเลขการบริโภคส่วนบุคคล ตัวเลขยอดขายที่อยู่อาศัยใหม่และตัวเลขความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจากมหาลัยมิชิแกน สหราชอาณาจักรเองก็จะมีรายงานตัวเลข GDP แบบปรับแต่งตัวเลขแล้วด้วยเช่นกัน ส่วนวันพรุ่งนี้จะมีการรายงานตัวเลข GDP ของแคนาดาที่นักลงทุนควรให้ความสำคัญ