สถานการณ์ในรัสเซียและนโยบายเฟดกดดันตลาดหุ้นสหรัฐฯ

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดตัวลบในวันจันทร์ หลังจากนักลงทุนยังคงระมัดระวังจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับเหตุการณ์ในรัสเซียครั้งล่าสุด ในขณะที่หุ้นในกลุ่มธุรกิจภาคเทคโนโลยี สินค้าอุปโภคบริโภค และเฮลธ์แคร์ร่วง หลังจากความเชื่อมั่นของตลาดโดยรวมยังคงได้รับผลกระทบจากความกังวลเกี่ยวกับนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ

ตลาดเทขายหุ้นในช่วงการซื้อขายล่าสุด จากความกังวลเกี่ยวกับท่าทีนโยบายที่อาจเข้มงวดขึ้นอีกของธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่อาจเกิดขึ้น โดยในวันศุกร์ที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอ่อนตัวลง ส่งผลให้ Nasdaq ร่วงจากแนวโน้มขาขึ้นในรอบ 8 สัปดาห์ ขณะที่ S&P ปิดสัปดาห์สูงติดต่อกัน 5 สัปดาห์

ทั้งนี้ การลดลงในดัชนีหลักได้รับแรงกดดันจากหุ้นเติบโต (Growth stocks)  ซึ่งรวมถึง Meta Platforms Inc, Alphabet Inc และ Tesla Inc ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการชะลอตัวของตลาดทุนล่าสุด หลังจากการชะลอตัวของหุ้นสหรัฐฯในช่วงสัปดาห์ก่อนหน้า

โดย Nasdaq ซึ่งได้รับอิทธิพลอย่างมากจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วที่ 1.16% ส่งผลให้ดัชนีหุ้นหลักของสหรัฐฯ ปิดตัวลบ อย่างไรก็ตาม ดัชนีดาวโจนส์บลูชิพปิดตัวลดลงเพียงเล็กน้อย จากธุรกิจในภาคธุรกิจสินค้าฟุ่มเฟือยและภาคอุตสาหกรรมซึ่งช่วยจำกัดการขาดทุน

อย่างไรก็ดี ธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ การขนส่ง วัสดุ และหุ้นขนาดเล็กกลับทำผลงานได้ดีกว่าตลาดในวงกว้าง ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคธุรกิจที่มีความอ่อนไหวทางเศรษฐกิจยังมีผลประกอบการที่ค่อนข้างดี ในขณะที่เหตุการณ์กบฎในรัสเซียส่งผลให้ความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงลดลง และเน้นย้ำถึงรอยร้าวที่อาจเกิดขึ้นในการกุมอำนาจของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน

ทั้งนี้ แม้ความกังวลเกี่ยวกับภูมิรัฐศาสตร์จะมีมากขึ้น แต่ความเชื่อมั่นของตลาดยังคงได้รับอิทธิพลหลักจากอัตราเงินเฟ้อและการพิจารณานโยบายการเงินมากกว่าความกลัวที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ระหว่างประเทศ ส่งผลให้สินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ พันธบัตร เงินเยน ฟรังก์สวิส และดอลลาร์สหรัฐฯเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในวันจันทร์

ทางด้านหุ้นในกลุ่มพลังงานทำกำไรเพิ่มขึ้น 2.2% ตามราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่ตลาดจับตาดูยุโรปอย่างใกล้ชิดถึงสัญญาณที่อาจบ่งบอกถึงการหยุดชะงักของอุปทานน้ำมัน อย่างไรก็ตาม ความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตของอุปสงค์ทั่วโลกและการหยุดชะงักของอุปทานที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากความไม่มั่นคงทางการเมืองในรัสเซียได้ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของตลาดทรงตัว

ทั้งนี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังคงมุ่งมั่นที่จะนำอัตราดอกเบี้ยกลับไปสู่อัตราเป้าหมาย 2% โดยข้อมูลทางเศรษฐกิจ ได้แก่ ความเชื่อมั่นผู้บริโภค ยอดขายบ้านใหม่ คำสั่งซื้อสินค้าคงทน จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และการอ่านค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ซึ่งมีกำหนดเผยแพร่ในวันพฤหัสบดี คาดว่าจะให้ข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน

โดยขณะนี้ ตลาดคาดการณ์ว่าเฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยพื้นฐานอีก 25 จุดในเดือนกรกฎาคม โดยมีความเป็นไปได้สูงถึง 76.9% ตามเครื่องมือ FedWatch ของ CME ในขณะที่เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าจะมีการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอีกอย่างน้อยสองครั้งภายในสิ้นปีนี้ แม้ว่าตลาดจะคาดว่าจะมีการปรับขึ้นเพียงหนึ่งครั้งในเดือนกรกฎาคม

ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (5H) CFD US 500 [S&P 500]

แนวต้านสำคัญ : 4343.7, 4347.7, 4354.1

แนวรับสำคัญ : 4330.9, 4326.9, 4320.5             

5H Outlook

ที่มา: Investing.com   

Buy/Long 1 หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 4325.9 - 4330.9 แต่ไม่สามารถเบรกแนวรับที่ 4330.9 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 4346.3 และ SL ที่ประมาณ 4321.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Buy/Long 2 หากสามารถเบรกแนวต้านที่ช่วงราคา 4343.7 - 4348.7 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 4360.0 และ SL ที่ประมาณ 4326.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้                 

Sell/Short 1 หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 4343.7 - 4348.7 แต่ไม่สามารถเบรกแนวต้านที่ 4343.7 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 4329.5 และ SL ที่ประมาณ 4353.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Sell/Short 2 หากสามารถเบรกแนวรับที่ช่วงราคา 4325.9 - 4330.9 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 4315.0 และ SL ที่ประมาณ 4348.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Pivot Points Jun 27, 2023 09:39AM GMT+7

Sources: Investing 1, Investing 2