ECB ขึ้นอัตราดอกเบี้ย เงินยูโรร่วงลงท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก

ธนาคารกลางยุโรปล่าสุดขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในความพยายามที่จะรับมือกับอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในยูโรโซน แม้ว่าจะมีสัญญาณบ่งชี้ถึงเศรษฐกิจในภูมิภาคที่อ่อนแอลง ซึ่งถือเป็นการขึ้นอัตราดอกเบี้ยติดต่อกันเป็นครั้งที่ 10 ของ ECB นับตั้งแต่ที่การคาดการณ์อัตราเร่งของการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อคลาดเคลื่อนเมื่อต้นปีที่แล้ว ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยหลักของ ECB เพิ่มขึ้นเป็น 4.50%

อย่างไรก็ตาม ECB ได้ส่งสัญญาณเป็นนัยว่าการปรับขึ้นครั้งนี้ อาจเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายสำหรับช่วงนี้ และคาดการณ์ว่าหากคงอัตราที่อยู่ในระดับสูงนี้ไว้ระยะหนึ่ง จะมีส่วนสำคัญในการช่วยควบคุมอัตราเงินเฟ้อได้ จึงส่งผลให้ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐเมื่อคืนวานนี้ โดยก่อนการตัดสินใจครั้งนี้ มีการถกเถียงมากมายถึงทิศทางนโยบายเพื่อรับมือกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงอย่างต่อเนื่องและเศรษฐกิจที่ชะลอตัว

ทางด้านเศรษฐกิจเยอรมันเผชิญกับความท้าทายในขณะที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะถดถอย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อรัฐบาลเยอรมันได้ปรับปรุงการคาดการณ์เศรษฐกิจลง โดยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจปีนี้จะหดตัวสูงถึง 0.3% เทียบกับการคาดการณ์ก่อนหน้าว่าจะเติบโต 0.4% ในปี 2566 โดยผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจคาดว่าเศรษฐกิจในไตรมาส 3 จะหดตัวลง ตามมาด้วยการเติบโตเล็กน้อยในไตรมาสที่สี่

ทั้งนี้ สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจโลกซึ่งมีต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้นและปัญหาทางเศรษฐกิจของจีน ได้สร้างแรงกดดันต่อการเติบโตของยูโรโซน และเพิ่มความเป็นไปได้ที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในกลุ่ม โดยภาคการผลิตซึ่งพึ่งพาเงินลงทุน ยังคงเผชิญกับปัญหาจากต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้น ในขณะที่ธุรกิจการให้เงินกู้ยืมแก่บริษัทและครัวเรือนปรับตัวลดลง อีกทั้ง ภาคบริการ ซึ่งก่อนหน้านี้ฟื้นตัวจากอานิสงส์ของการท่องเที่ยวหลังการแพร่ระบาดก็กำลังประสบปัญหาเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ เมื่อถึงจุดสิ้นสุดวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ECB อาจเริ่มพิจารณาถอนสภาพคล่องส่วนเกินที่อัดฉีดเข้าสู่ระบบธนาคารในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา

ทางด้านสหรัฐอเมริกา ราคาผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเกินคาดในเดือนสิงหาคม โดยได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เพิ่มขึ้น 3.7% ต่อปี จาก 3.2% ในเดือนกรกฎาคม และสูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ในขณะที่ราคาน้ำมันเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นในเดือนสิงหาคม โดยอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมราคาสินค้าที่ผันผวนพบว่ายังคงขยับขึ้นสูงเล็กน้อย

อย่างไรก็ตาม ข้อมูล CPI ของสหรัฐฯ ที่เผยแพร่เมื่อวันพุธส่งผลกระทบเพียงเล็กน้อยต่อการคาดการณ์ของตลาดต่อทิศทางนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ เนื่องจากนักลงทุนเชื่อมั่นว่าอัตราดอกเบี้ยจะไม่เปลี่ยนแปลงในวันที่ 20 กันยายนนี้ โดยพบความเป็นไปได้เพียง 40% ที่จะมีการปรับเพิ่มขึ้นอีก 25 จุดในสิ้นปีนี้

ทั้งนี้ แม้จะยังคงรับมือกับความท้าทายด้านเงินเฟ้อ แต่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังคงเลือกใช้เส้นทางทางการเงินอย่างระมัดระวัง ท่ามกลางการพัฒนาทางเศรษฐกิจต่างๆ ที่เกิดขึ้น เช่น อัตราค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นในระดับปานกลาง และการลดลงของอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ อันเนื่องมาจากความไม่สมดุลอย่างต่อเนื่องของอุปสงค์และอุปทาน ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่สูงขึ้น และภาวะเงินเฟ้อที่ฝังลึกในระบบเศรษฐกิจ จึงคาดว่าจะส่งผลให้เงินยูโรยังคงมีแนวโน้มถูกกดันอยู่ในระยะสั้นถึงกลาง ในขณะที่อาจพบการปรับตัวขึ้นลงได้ตามมตินโยบายทางการเงินของธนาคารกลางและตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจเพิ่มเติม

ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (5H) CFD EUR/USD

แนวต้านสำคัญ : 1.0644, 1.0646, 1.0651

แนวรับสำคัญ : 1.0634, 1.0632 , 1.0627                    

5H Outlook

30Min Outlook                  

ที่มา: Investing.com

Buy/Long 1 หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 1.0624 - 1.0634 แต่ไม่สามารถเบรกแนวรับที่ 1.0634 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.0644 และ SL ที่ประมาณ 1.0619 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Buy/Long 2 หากสามารถเบรกแนวต้านที่ช่วงราคา 1.0644 - 1.0654 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.0670 และ SL ที่ประมาณ 1.0629 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้                 

Sell/Short 1 หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 1.0644 - 1.0654 แต่ไม่สามารถเบรกแนวต้านที่ 1.0644 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.0631 และ SL ที่ประมาณ 1.0659 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Sell/Short 2 หากสามารถเบรกแนวรับที่ช่วงราคา 1.0624 - 1.0634 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.0615 และ SL ที่ประมาณ 1.0649 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Pivot Points Sep 15, 2023 08:51AM GMT+7

Sources: Investing 1, Investing 2