ความผันผวนของตลาดหุ้นและการคาดการณ์รายได้ท่ามกลางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เพิ่มขึ้น
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา S&P 500 เผชิญกับวันที่วุ่นวายจากปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อตลาดหุ้น รวมถึงความผันผวนของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และการปรับตัวขึ้นของหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี การบริการ และภาคสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งถูกถ่วงดุลจากการปรับตัวลดลงในภาคพลังงาน การเงิน วัสดุพื้นฐาน แลโทรคมนาคม ในขณะที่นักลงทุนจับตามองไปที่การเปิดเผยรายงานผลประกอบการรายไตรมาสจากบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ในปลายสัปดาห์นี้
โดยก่อนหน้านี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ พุ่งขึ้นในช่วงสั้นๆ ทะลุ 5% และทำสถิติสูงสุดในรอบ 16 ปี ก่อนที่จะถอยตัวกลับในเวลาต่อมา ส่งผลให้ดัชนีหุ้นมีการซื้อขายที่หลากหลาย ในขณะที่ตลาดน้ำมันยังคงได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในตะวันออกกลาง
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เพิ่มขึ้น บวกกับความเสี่ยงที่จะเกิดความขัดแย้งในตะวันออกกลางในวงกว้าง ได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ในขณะที่รายงานผลประกอบการของบริษัทสำคัญๆ และข้อมูลเงินเฟ้อที่สำคัญมีกำหนดเปิดเผนตลอดทั้งสัปดาห์นี้ ซึ่งแนวโน้มเศรษฐกิจโดยรวมนี้ได้ส่งผลให้ตลาดตราสารทุนทั่วโลกปรับตัวลดลง แตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบเจ็ดเดือน
ทั้งนี้ ในสัปดาห์นี้ เกือบหนึ่งในสามของบริษัทที่จดทะเบียนใน S&P 500 คาดว่าจะเปิดเผยรายงานผลประกอบการ และ 73% ของบริษัทดังกล่าวถูกคาดการณ์ว่าอัตรากำไรต่อหุ้น (EPS) จะออกมาดีกว่าที่คาดไว้
โดย Microsoft Corporation และ Alphabet มีกำหนดรายงานผลประกอบการไตรมาสเดือนกันยายนในวันอังคาร ซึ่งดึงดูดความสนใจในตลาดอย่างมาก ตามมาด้วยรายงานจากบริษัทใหญ่ๆ อย่าง Meta Platforms, International Business Machines (IBM), Amazon และ Intel ในวันต่อมา
ในตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ นักลงทุนต่างเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นหลังการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญ ซึ่งรวมถึงประมาณการการเติบโตของ GDP ในไตรมาสที่สามและดัชนีรายจ่ายการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากตัวเลขดีเกินความคาดหวังของตลาด
โดย GDP ของสหรัฐอเมริกาคาดว่าจะยังคงเน้นย้ำถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่สำคัญ จากแรงผลักดันจากความต้องการของผู้บริโภคที่แข็งแกร่ง แม้ว่าจะมีสัญญาณของภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่อาจเกิดขึ้น ขณะที่ตลาดแรงงานที่ฟื้นตัวยังคงความเสถียร จึงคาดว่าอาจส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยรวมยังสามารถปรับฐานขึ้นสูงได้อยู่บ้างในระยะนี้ โดยแนวโน้มขาขึ้นยังคงถูกจำกัดในระยะยาว
ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (5H) CFD US 500 [S&P 500]
แนวต้านสำคัญ : 4240.3, 4247.5, 4259.1
แนวรับสำคัญ : 4217.1, 4209.9, 4198.3
5H Outlook
ที่มา: Investing.com
Buy/Long 1 หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 4199.1 - 4217.1 แต่ไม่สามารถเบรกแนวรับที่ 4217.1 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 4243.1 และ SL ที่ประมาณ 4190.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Buy/Long 2 หากสามารถเบรกแนวต้านที่ช่วงราคา 4240.3 - 4258.3 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 4270.0 และ SL ที่ประมาณ 4208.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Sell/Short 1 หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 4240.3 - 4258.3 แต่ไม่สามารถเบรกแนวต้านที่ 4240.3 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 4212.7 และ SL ที่ประมาณ 4267.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Sell/Short 2 หากสามารถเบรกแนวรับที่ช่วงราคา 4199.1 - 4217.1 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 4185.0 และ SL ที่ประมาณ 4249.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Pivot Points Oct 24, 2023 10:33AM GMT+7
Name
|
S3
|
S2
|
S1
|
Pivot Points
|
R1
|
R2
|
R3
|
---|---|---|---|---|---|---|---|
Classic | 4182.3 | 4198.3 | 4212.7 | 4228.7 | 4243.1 | 4259.1 | 4273.5 |
Fibonacci | 4198.3 | 4209.9 | 4217.1 | 4228.7 | 4240.3 | 4247.5 | 4259.1 |
Camarilla | 4218.8 | 4221.6 | 4224.4 | 4228.7 | 4230 | 4232.8 | 4235.6 |
Woodie's | 4181.7 | 4198 | 4212.1 | 4228.4 | 4242.5 | 4258.8 | 4272.9 |
DeMark's | - | - | 4205.5 | 4225.1 | 4236 | - | - |
Sources: Investing 1, Investing 2