บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นเอเชีย วันที่ 7 พฤศจิกายน 2566

Create at 1 year ago (Nov 07, 2023 11:02)

หุ้นเอเชียปรับตัวขึ้นจากข้อมูลค่าจ้างสหรัฐที่อ่อนแอและการเปลี่ยนแปลงของตลาดจีน

หุ้นเอเชียพุ่งขึ้นในวันจันทร์ โดยได้แรงหนุนจากข้อมูลค่าจ้างของสหรัฐฯ ที่อ่อนแอกว่าคาด ส่งสัญญาณว่าธนาคารกลางสหรัฐฯอาจใกล้ถึงเวลายุติวงจรการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ในขณะที่ความสนใจของตลาดมุ่งไปที่รายงานเศรษฐกิจจากประเทศจีนที่กำลังจะมีขึ้น

ดัชนี KOSPI ของเกาหลีใต้พุ่งขึ้น 3.8% ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากรัฐบาลเกาหลีใต้สั่งห้ามการขายชอร์ตเด็ดขาดในตลาดท้องถิ่น ดัชนี Nikkei 225 ของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 2.2% จากข้อมูลที่แข็งแกร่งในภาคบริการ และทิศทางการคงนโยบายแบบผ่อนคลายจากธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น ขณะที่ตลาดรอรายงานผลประกอบการจากบริษัทอย่าง SoftBank Group Corp. และ Sony Corp. ในช่วงนี้

ทางด้านดัชนีฟิวเจอร์ส Nifty 50 ของอินเดียเปิดบวก จากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในหุ้นกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยี ทางด้านประเทศจีน ดัชนี Shanghai Shenzhen CSI 300 และ Shanghai Composite เพิ่มขึ้น 0.7% และ 0.5% ตามลำดับ ในขณะที่ดัชนี Hang Seng ของฮ่องกง พุ่งขึ้น 1.5% โดยได้แรงหนุนจากหุ้นเมก้าเทคโนโลยี

ทั้งนี้ ในเดือนตุลาคม ภาคบริการของญี่ปุ่นพบการเติบโตที่ช้าที่สุดในรอบปีนี้ โดยยอดคำสั่งซื้อใหม่อยู่ในจุดที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม ขณะที่คำสั่งซื้อส่งออกหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 14 เดือน ท่ามกลางการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น การเกษียณอายุที่ช่วยชดเชยตำแหน่งงานเปิดใหม่โดยรวม และความคาดหวังทางธุรกิจที่ลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบเก้าเดือน โดยแนวโน้มเศรษฐกิจของญี่ปุ่นยังคงได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งในตะวันออกกลางและการเติบโตของจีนที่ชะลอตัวลง ส่งผลให้รัฐบาลอาจต้องใช้งบประมาณถึงมูลค่า 17 ล้านล้านเยน (113 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) เพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจจากภาวะเงินเฟ้อ

ทางด้านเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ มีกำหนดพบกับรองนายกรัฐมนตรีจีนเหอ ลี่เฟิง ในซานฟรานซิสโกสัปดาห์นี้ เพื่อกระชับการเจรจาทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศก่อนการประชุมสุดยอด Pacific Rim โดยเยลเลนตั้งเป้าที่จะทำความเข้าใจถึงการสื่อสารทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ-จีนแบบใหม่ และหารือเกี่ยวกับมาตรการเพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน

ในขณะเดียวกัน หลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีของจีน ได้ประกาศครั้งสำคัญที่งานแสดงสินค้าในเซี่ยงไฮ้ เผยให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของจีนในการขยายการเข้าถึงตลาดและเพิ่มการนำเข้าในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยการประกาศนี้มีขึ้นเพื่อตอบสนองต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากบริษัทในยุโรป และแสดงความปรารถนาที่จะปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจของจีนที่จับต้องได้มากขึ้น โดยหลี่เน้นย้ำแนวทางการประสานงานในการพัฒนาทางการค้า ควบคู่ไปกับความมุ่งมั่นในการปกป้องสภาพแวดล้อมทางธุรกิจระหว่างประเทศ และการผ่อนคลายข้อจำกัดในการเข้าถึงตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของการลงทุนจากต่างประเทศในด้านการผลิต

ทั้งนี้ งาน China International Import Expo ซึ่งริเริ่มโดยประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เมื่อปี 2561 เกิดขึ้นเพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ของจีนในฐานะผู้สนับสนุนการค้าเสรี และตอบโต้การวิพากษ์วิจารณ์ถึงการเกินดุลการค้ากับหลายประเทศ ในขณะที่การนำเข้าของจีนลดลงในปีนี้เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก แต่จากข้อมูลที่เผยแพร่เมื่อเดือนที่แล้ว มีสัญญาณบ่งชี้ถึงแนวโน้มที่อาจค่อยๆ ดีขึ้น

ขณะเดียวกัน จีนมีแผนที่จะเร่งการออกและการใช้ประโยชน์ของพันธบัตรรัฐบาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยแม้ว่าจีนจะมีอัตราการเติบโตที่เร็วกว่าที่คาดไว้ในไตรมาสที่สาม แต่ก็ยังคงเผชิญกับปัญหาต่างๆ เช่น วิกฤตอสังหาริมทรัพย์ที่ทวีความรุนแรงขึ้น และความไม่มั่นใจของบริษัทเอกชนในการลงทุน ซึ่งได้รับแรงกดดันจากความเชื่อมั่นที่อ่อนแอ

นอกจากนี้ มีการเปิดเผยว่าจีนบันทึกการขาดดุลการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) รายไตรมาสเป็นครั้งแรก ซึ่งสะท้อนถึงแรงกดดันที่เกี่ยวข้องกับกระแสเงินทุนที่ไหลออก และความท้าทายอย่างต่อเนื่องของจีนในการดึงดูดบริษัทต่างชาติ ท่ามกลางเทรนด์ "ลดความเสี่ยง" จากทั่วโลกที่ได้รับแรงหนุนจากรัฐบาลตะวันตก

ในด้านอุตสาหกรรม รัฐมนตรีอุตสาหกรรมของจีนรายงานว่าเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของประเทศมีเสถียรภาพและมีการเติบโตในช่วงสามไตรมาสแรกของปี 2566 ซึ่งเห็นได้ชัดเจนโดยเฉพาะในภาคธุรกิจพลังงานใหม่ รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งในช่วง 9 เดือนแรก ยอดขายรถยนต์ในจีนเพิ่มขึ้น 2.1% รวม 15.41 ล้านคัน ขณะที่ตลาดต่างประเทศยังคงเป็นพื้นที่ขายสำคัญ แม้ว่าจะมีความกังวลจากการสอบสวนของสหภาพยุโรปเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในจีน

นอกจากนี้ การส่งออกของจีนยังคงแสดงสัญญาณที่มีเสถียรภาพและฟื้นตัวได้ดี แม้จะมีความท้าทายต่างๆ เช่น การว่างงานของเยาวชนที่สูง การขาดเชื่อมั่นในภาคเอกชน การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และความตึงเครียดทางการค้ากับสหรัฐอเมริกา เทคโนโลยี และภูมิศาสตร์การเมือง

อย่างไรก็ดี ภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจในเอเชียยังได้รับอิทธิพลอย่างมากจากอินเดีย ตามรายงานล่าสุดโดย Morgan Stanley คาดว่า GDP ของอินเดียจะเร่งตัวขึ้นในอัตรา 12.4% เมื่อเทียบเป็นรายปีในปีงบประมาณ 2568 ซึ่งการเติบโตที่คาดการณ์ไว้นี้ไม่เพียงแต่จะแซงหน้าจีน แต่ยังอาจทำให้อินเดียเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสามของโลกภายในปี 2570 โดยปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันเศรษฐกิจอินเดีย ได้แก่ การใช้จ่ายด้านทุนสาธารณะ (capex) ที่ปรับตัวสูงขึ้น และการใช้จ่ายในการลงทุนภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งได้รับแรงหนุนจากการปฏิรูปนโยบาย การลดภาษีนิติบุคคล และการเปิดตัวโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการผลิต (Production-Linked Incentive Scheme: PLI) ท่ามกลางความท้าทายต่างๆ เช่น อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ความไม่สงบทางภูมิรัฐศาสตร์ และอุปสงค์ที่ซบเซา ขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจของอินเดียยังคงเป็นบวก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงการเพิ่มขึ้นของส่วนแบ่งการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม ในแง่ของการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดียยังคงผันผวน โดยมีรายงานการขยายตัวทางเศรษฐกิจ 7.8% ในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน ซึ่งสอดคล้องกับความคาดหวังของนักเศรษฐศาสตร์ แม้ว่าจะต่ำกว่าประมาณการ 8% ของธนาคารกลางอินเดีย แม้ผลการดำเนินงานทางเศรษฐกิจจะเป็นผลมาจากการพึ่งพาปัจจัยระดับโลกอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจบ่งชี้ว่าปัจจัยภายในประเทศและการลงทุนภาคเอกชนเพียงอย่างเดียวไม่สามารถรักษาการเติบโตไว้ได้

ทั้งนี้ จุดสนใจในเอเชียประจำสัปดาห์อยู่ที่ข้อมูลการค้าและข้อมูลเงินเฟ้อจากประเทศจีน ซึ่งจะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาค แม้ข้อมูลกิจกรรมทางธุรกิจที่อ่อนแอในช่วงที่ผ่านมาได้บั่นทอนความเชื่อมั่น แต่ความคาดหวังวถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากรัฐบาลจีน รวมถึงการออกพันธบัตรจำนวนมาก คาดว่าจะส่งผลต่อมุมมองเชิงบวกในตลาดเอเชียได้ จึงอาจส่งผลให้ดัชนีหุ้นเอเชียโดยรวมรวมถึงดัชนี Nikkei ญี่ปุ่น มีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในกรอบหลังปรับฐานจากการปรับตัวขึ้นสูงในช่วงวันที่ผ่านมา โดยแนวโน้มขาขึ้นระยะกลางคาดว่าอาจยังคงถูกกดดันจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงซบเซาในปีหน้า

ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (5H) CFD JP225 Nikkei 225 Futures - Dec 23

แนวต้านสำคัญ : 32564.4, 32627.6, 32730.0

แนวรับสำคัญ : 32359.6, 32296.4, 32194.0

5H Outlook

วิเคราะห์ตลาดหุ้นเอเชีย ที่มา: Investing.com

Buy/Long 1 หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 32226.6 - 32359.6 แต่ไม่สามารถเบรกแนวรับที่ 32359.6 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 32564.4 และ SL ที่ประมาณ 32160.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Buy/Long 2 หากสามารถเบรกแนวต้านที่ช่วงราคา 32564.4 - 32697.4 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 32730.0 และ SL ที่ประมาณ 32293.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้                 

Sell/Short 1 หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 32564.4 - 32697.4 แต่ไม่สามารถเบรกแนวต้านที่ 32564.4 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 32291.0 และ SL ที่ประมาณ 32763.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Sell/Short 2 หากสามารถเบรกแนวรับที่ช่วงราคา 32226.6 - 32359.6 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 32194.0 และ SL ที่ประมาณ 32498.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Pivot Points Nov 7, 2023 10:18AM GMT+7

Name
S3
S2
S1
Pivot Points
R1
R2
R3
Classic 32023 32194 32291 32462 32559 32730 32827
Fibonacci 32194 32296.4 32359.6 32462 32564.4 32627.6 32730
Camarilla 32314.3 32338.9 32363.4 32462 32412.6 32437.1 32461.7
Woodie's 31986 32175.5 32254 32443.5 32522 32711.5 32790
DeMark's - - 32242.5 32437.8 32510.5 - -

Sources: Investing 1Investing 2

______________________________
อัพเกรดความรู้เพิ่มเติม: Blog
รู้เท่าทันข่าว&สถานการณ์โลก: News
บทวิเคราะห์เชิงเทคนิคขั้นสูง: Analysis
Tags:

TECHNICAL ANALYSIS

ARTICLES