เศรษฐกิจอินเดียยังสามารถเติบโตได้ดี
เงินรูปีของอินเดียยังคงทำจุดอ่อนค่าสูงสุดอย่างต่อเนื่องก่อนที่จะทรงตัวใกล้ 83.4 รูปีต่อดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากเงินทุนจากต่างประเทศที่ไหลออกที่เพิ่มขึ้นในอินเดียแม้ว่า RBI จะขายอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศมูลค่ามากกว่า 23 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อพยุงค่าเงินก็ตาม นอกจากนี้อัตราเงินเฟ้อในเดือนพฤศจิกายนจะเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ก็ตาม ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อในอินเดียส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากการนำเข้าพลังงาน หากค่าเงินรูปีของอินเดียยังคงอ่อนค่าจะทำให้ต้นทุนการนำเข้าพลังงานสูงขึ้นและจะกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม
อัตราเงินเฟ้อในอินเดียเพิ่มขึ้นเป็น 5.55% ในเดือนพฤศจิกายน น้อยกว่าการคาดการณ์ของตลาดที่ 5.7% จากการสำรวจพบว่าอัตราเงินเฟ้อด้านอาหารเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากที่ 8.7% โดยราคาอาหารที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในอินเดียนี้ยังคงเป็นจุดที่น่ากังวล เนื่องจากปรากฏการณ์เอลนิโญส่งผลให้สภาพอากาศแปรปรวน ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลผลิตทางการเกษตร โดยเฉพาะราคาเครื่องเทศที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 21.6% รองลงมาด้วยถั่วที่ราคาเพิ่มขึ้น 20.2% และราคาผักต่างๆ เพิ่มขึ้น 17.7%
ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) ได้ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 6.5% สำหรับการประชุมในเดือนธันวาคม โดยทาง RBI ยังคงกรอบของอัตราเงินเฟ้อในช่วงเป้าหมายที่ 2-6% เพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจในอินเดีย อย่างไรก็ตาม Shaktikanta Das ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้ว่าการ RBI ได้เตือนเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่อัตราเงินเฟ้อในเดือนธันวาคมจะเร่งตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากแรงกดดันด้านราคาอาหารที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ RBI ได้คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในปี 2023 ไว้ที่ 5.4% และคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำไว้ที่ 6.75%
เศรษฐกิจ (GDP) ของอินเดียขยายตัว 7.6% เมื่อเทียบเป็นรายปีในไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมา สูงกว่าการคาดการณ์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 6.8% โดยการเติบโตส่วนใหญ่ยังอยู่ในภาคการผลิตและการก่อสร้างอาคารซึ่งมีการเติบโตมากกว่า 13% ทั้งนี้อินเดียยังคงลงทุนกับโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยดูได้จากการใช้จ่ายภาครัฐที่เพิ่มขึ้นจากการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ 11% อีกทั้งยังมีบริษัทชั้นนำระดับเริ่มเข้ามาลงทุนในประเทศ ทำให้มีการคาดการณ์ว่าอินเดียจะยังสามารถเติบโตได้ดีในอนาคต
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอินเดียอายุ 10 ปียังคงสูงเหนือ 7.25% โดยดีดตัวขึ้นมาเล็กน้อย โดยตลาดยังคงประเมินแนวโน้มนโยบายของ RBI ธนาคารกลางคงอัตราดอกเบี้ยหลักไว้ที่ 6.5% ในการประชุมครั้งล่าสุด อีกทั้งตัวเลข GDP แสดงให้เห็นถึงการเติบโตที่แข็งแกร่งของเศรษฐกิจอินเดีย นอกจากนี้ RBI ยังปรับการคาดการณ์การเติบโตในปีหน้า โดยเน้นย้ำถึงความยืดหยุ่นของเศรษฐกิจในประเทศต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก
ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (5H)
แนวต้านสำคัญ: 83.411, 83.446, 83.464
แนวรับสำคัญ: 83.358, 83.340, 83.304
ที่มา: Investing.com
จุดกลับตัว 13 ธันวาคม 2566 22:17 น. GMT+7
ชื่อ | S3 | S2 | S1 | จุดกลับตัว | R1 | R2 | R3 |
Classic | 83.304 | 83.340 | 83.358 | 83.393 | 83.411 | 83.446 | 83.464 |
Fibonacci | 83.340 | 83.360 | 83.373 | 83.393 | 83.413 | 83.426 | 83.446 |
Camarilla | 83.361 | 83.365 | 83.370 | 83.393 | 83.380 | 83.385 | 83.390 |
Woodie's | 83.296 | 83.336 | 83.350 | 83.389 | 83.403 | 83.442 | 83.456 |
DeMark's | - | - | 83.349 | 83.388 | 83.402 | - | - |
Buy/Long 2: หากสามารถเบรกแนวต้านที่ช่วงราคา 83.411 - 83.446 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 83.464 และ SL ที่ประมาณ 83.340 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Sell/Short 1: หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 83.411 - 83.446 แต่ไม่สามารถเบรกแนวต้านที่ 83.411 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 83.340 และ SL ที่ประมาณ 83.464 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Sell/Short 2: หากสามารถเบรกแนวรับที่ช่วงราคา 83.340 - 83.358 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 83.304 และ SL ที่ประมาณ 83.446 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
ตัวชี้วัดทางเทคนิค 13 ธันวาคม 2566 22:17 น. GMT+7
ชื่อ | มูลค่า | Action |
RSI(14) | 47.994 | ถือหุ้นไว้ |
STOCH(9,6) | 39.269 | ขาย |
STOCHRSI(14) | 18.381 | ขายมากเกินไป |
MACD(12,26) | 0.005 | ซื้อ |
ADX(14) | 20.130 | ขาย |
Williams %R | -73.492 | ขาย |
CCI(14) | -83.0302 | ขาย |
ATR(14) | 0.0491 | ผันผวนน้อยลง |
Highs/Lows(14) | 0.0000 | ถือหุ้นไว้ |
Ultimate Oscillator | 38.181 | ขาย |
ROC | -0.088 | ขาย |
Bull/Bear Power(13) | -0.0115 | ขาย |
ซื้อ:1 ขาย:7 ถือหุ้นไว้:2 สรุป:ขายทันที |