ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ขาดทิศทางบนความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ตลาดจับตาดูรายงานผลประกอบการของธนาคาร
หุ้นสหรัฐฯ เผชิญกับทิศทางที่หลากหลายในช่วงปิดตลาดเมื่อวันจันทร์ โดยหุ้นโทรคมนาคม น้ำมันและก๊าซ และสาธารณูปโภคที่เพิ่มขึ้น ชดเชยด้วยการปรับตัวลดลงในหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค บริการผู้บริโภค และการดูแลสุขภาพ หลังจากที่สัปดาห์ก่อนพบการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย โดย S&P 500 เพิ่มขึ้น 0.1% ดัชนี Nasdaq Composite ไม่พบการเปลี่ยนแปลงมากนัก และดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ลดลง 0.3%
อย่างไรก็ดี นักลงทุนจับตาดูรายได้ของธุรกิจกลุ่มธนาคาร รวมถึงประเมินข้อมูลที่บ่งชี้ถึงราคาผู้ผลิตสหรัฐที่ลดลงอย่างน่าประหลาดใจในเดือนธันวาคม โดยการลดลงนี้มีสาเหตุมาจากต้นทุนที่ลดลงในสินค้าต่างๆ เช่น น้ำมันดีเซลและอาหาร โดยเป็นการลดลงเป็นเดือนที่สามติดต่อกัน ขณะที่นักลงทุนยังคงคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยจากปัจจุบันที่ 5.50% ลงเหลือ 5.25% อย่างเร็วที่สุดในเดือนมีนาคม ท่ามกลางนักวิเคราะห์บางคนที่คาดว่าจะมีการปรับลดในเดือนพฤษภาคมหรือมิถุนายน
ในสัปดาห์นี้ ความสนใจจะอยู่ที่ยอดค้าปลีกและการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อของมหาวิทยาลัยมิชิแกนสำหรับข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับภูมิทัศน์เงินเฟ้อของสหรัฐฯ ขณะที่ Goldman Sachs และ Morgan Stanley มีกำหนดรายงานผลประกอบการรายไตรมาส ซึ่งคาดว่าจะดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนเกี่ยวกับผลการดำเนินงานของสถาบันต่างๆ ที่เน้นด้านวาณิชธนกิจและการจัดการสินทรัพย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่มีการควบรวมกิจการและการเข้าซื้อกิจการที่น้อยลง
ทั้งนี้ ธนาคารขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ ก่อนหน้านี้ได้รายงานผลกำไรที่เพิ่มขึ้นในไตรมาสที่สี่ จากมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ โดยอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นในช่วงหลายเดือนก่อนได้สนับสนุนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ แต่ยังคงมีคำถามเกิดขึ้นเกี่ยวกับความยั่งยืนของผลกำไรดังกล่าว ขณะที่ธนาคารต่างๆ รวมถึง JPMorgan, Bank of America, Wells Fargo และ Citigroup ได้กันเงินสำรองที่เพิ่มขึ้นสำหรับการผิดนัดชำระหนี้ที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งบ่งชี้ถึงการผิดนัดชำระหนี้ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาด
อย่างไรก็ดี ท่ามกลางความท้าทายที่เกิดขึ้น ธนาคารต่างๆ ได้เสนอการประเมินเชิงบวกโดยรวมของเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเน้นถึงความยืดหยุ่นในการใช้จ่ายของผู้บริโภค ท่ามกลางแรงกดดันจากต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้น ขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจโลกยังคงมีความไม่แน่นอน โดยการสำรวจก่อนการประชุม World Economic Forum เผยให้เห็นแนวโน้มการเติบโตที่ลดลงในปี 2024 ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจจะอ่อนแอลง ซึ่งคาดว่าเปอร์เซ็นต์การเติบโตทางเศรษฐกิจอาจแข็งแกร่งขึ้น หรืออาจคงที่และไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยการสำรวจดังกล่าวได้เน้นการทดสอบความสามารถในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกอย่างต่อเนื่อง และบ่งชี้ถึงกิจกรรมการชะลอตัวในภาคการผลิตและบริการ
โดยในสัปดาห์นี้ คาดว่าข้อมูลยอดค้าปลีกและรายได้ของธนาคารจะเป็นประเด็นสำคัญสำหรับนักลงทุน ซึ่งดัชนีผู้บริโภคในสหรัฐฯ ตัวขับเคลื่อนสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ จะถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด ขณะที่ยอดค้าปลีกคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนธันวาคม และข้อมูลตลาดที่อยู่อาศัย รวมถึงโครงการก่อสร้างที่อยู่อาศัยและยอดขายบ้านมือสอง คาดว่าจะสะท้อนถึงความท้าทายในเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องท่ามกลางต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้น
ทั้งนี้ ท่ามกลางการพิจารณาถึงทิศทางทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ผู้นำระดับโลกได้รวมตัวกันที่เมืองดาวอสเพื่อเข้าร่วมการประชุม World Economic Forum โดยจะมีการกล่าวถึงประเด็นต่างๆ รวมถึงแนวโน้มทางเศรษฐกิจ ข้อกังวลทางภูมิรัฐศาสตร์ ปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ และการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อม ขณะที่เจ้าหน้าที่ของเฟด รวมถึงผู้ว่าการคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ราฟาเอล บอสติก ประธานเฟดแอตแลนตา และแมรี่ ดาลี หัวหน้าเฟดประจำซานฟรานซิสโก มีกำหนดที่จะแบ่งปันวิสัยทัศน์ในสัปดาห์นี้ จึงอาจส่งผลต่อความผันผวนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยรวมได้ในช่วงนี้ จากข้อมูลเศรษฐกิจที่ยังคงไม่ชัดเจนจากหลายๆ ประเทศเศรษฐกิจหลักของโลก โดยอาจพบการปรับตัวขึ้นลงได้ในกรอบกว้างๆ
ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (1H) CFD US 500 [S&P 500]
แนวต้านสำคัญ : 4770.9, 4772.7, 4775.6
แนวรับสำคัญ : 4765.1, 4763.3, 4760.4
1H Outlook
ที่มา: Investing.com
Buy/Long 1 หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 4760.1 - 4765.1 แต่ไม่สามารถเบรกแนวรับที่ 4765.1 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 4772.4 และ SL ที่ประมาณ 4758.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Buy/Long 2 หากสามารถเบรกแนวต้านที่ช่วงราคา 4770.9 - 4775.9 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 4780.0 และ SL ที่ประมาณ 4763.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Sell/Short 1 หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 4770.9 - 4775.9 แต่ไม่สามารถเบรกแนวต้านที่ 4770.9 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 4764.8 และ SL ที่ประมาณ 4778.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Sell/Short 2 หากสามารถเบรกแนวรับที่ช่วงราคา 4760.1 - 4765.1 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 4757.0 และ SL ที่ประมาณ 4773.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Pivot Points Jan 16, 2024 09:21AM GMT+7
Name
|
S3
|
S2
|
S1
|
Pivot Points
|
R1
|
R2
|
R3
|
---|---|---|---|---|---|---|---|
Classic | 4757.2 | 4760.4 | 4764.8 | 4768 | 4772.4 | 4775.6 | 4780 |
Fibonacci | 4760.4 | 4763.3 | 4765.1 | 4768 | 4770.9 | 4772.7 | 4775.6 |
Camarilla | 4767.1 | 4767.8 | 4768.5 | 4768 | 4769.9 | 4770.6 | 4771.3 |
Woodie's | 4757.8 | 4760.7 | 4765.4 | 4768.3 | 4773 | 4775.9 | 4780.6 |
DeMark's | - | - | 4766.4 | 4768.8 | 4774 | - | - |
Sources: Investing 1, Investing 2
อัพเกรดความรู้เพิ่มเติม: คลิ