ตลาดหุ้นขึ้นสู่จุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันจันทร์ ขับเคลื่อนด้วย AI ท่ามกลางฤดูรายงานผลประกอบการ

จากอิทธพลของผลการดำเนินงานที่ทำลายสถิติล่าสุดของตลาด Wall Street ส่งผลให้ดัชนีหุ้น MSCI ทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ขณะที่ดัชนี S&P 500 และ Dow แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันเดียวกัน โดย Dow ทะลุ 38,000 เป็นครั้งแรก ส่งผลให้สัญญาซื้อขายฟิวเจอร์สของสหรัฐฯ เริ่มต้นปีเชิงบวก โดยยังคงการฟื้นตัวที่ขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ได้ผลักดันให้ S&P 500 เข้าใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบสองปี

ทั้งนี้ เซสชันก่อนหน้านี้ พบการปรับตัวเพิ่มขึ้นในภาคอุตสาหกรรม โทรคมนาคม และการเงิน ที่ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น หลังจากค่าเฉลี่ยหลักของตลาด Wall Street รวมถึงดัชนี S&P 500 และ Dow ปิดสูงขึ้นมากกว่า 1% ในวันศุกร์ โดยได้รับแรงหนุนจากการแก้ไขการคาดการณ์กำไรไตรมาสสองจากผู้ผลิตเซิร์ฟเวอร์ Super Micro Computer ซึ่งนำไปสู่การเพิ่มขึ้นอย่างมากในบริษัทผู้ผลิตชิป AI เช่น Nvidia และ Advanced Micro Devices รวมถึงการเพิ่มขึ้นของดัชนี Philadelphia SE Semiconductor สู่ระดับสูงสุดตลอดกาล

โดยมุมมองเชิลบวกเกี่ยวกับ AI ได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจาก TSMC ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปชั้นนำ โดยคาดการณ์ว่ารายได้จะเพิ่มขึ้น 20% ในปีนี้ ซึ่งมีสาเหตุมาจากความต้องการใช้ AI ที่เพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ดี ท่ามกลางฤดูการรายงานผลประกอบที่เข้มข้นขึ้น กำหนดการประชุมจากธนาคารกลางสำคัญหลายแห่งครั้งแรกในปี 2024 และข้อมูล PMI คาดว่าจะกำหนดทิศทางสถานะทางเศรษฐกิจโลกในช่วงนี้ ขณะที่ประมาณ 62% ของบริษัทในดัชนี S&P 500 รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ปี 2023 ที่ได้สร้างความประหลาดใจทั้งในด้านกำไรต่อหุ้นและรายได้เชิงบวก ตามข้อมูลจาก FactSet อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการโดยรวมที่ลดลงแบบปีต่อปีสำหรับ S&P 500 ยังคงอยู่ที่ -1.7% ในไตรมาสที่ 4 ปี 2023 ซึ่งถือเป็นการลดลงแบบปีต่อปีเป็นครั้งที่สี่ในช่วงห้าไตรมาสที่ผ่านมา

ทางด้านบริษัทใหญ่ๆ เช่น Netflix, Tesla, 3M และ Intel มีกำหนดรายงานผลประกอบการในสัปดาห์นี้ โดยดัชนี S&P 500 ซึ่งปิดสถิติสูงสุดก่อนหน้านี้ อาจเผชิญกับความท้าทายได้ หากรายได้ที่เกิดขึ้นไม่เป็นไปตามมูลค่าที่สูงขึ้นในปัจจุบัน

ทางด้านภาคเทคโนโลยีซึ่งเป็นแรงผลักดันเบื้องหลังการขึ้นปรับตัวของราคาตลาดหุ้น กำลังรอผลการดำเนินงานจากบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft และ Apple ในสัปดาห์หน้า ขณะที่หุ้นเซมิคอนดักเตอร์ รวมถึง Nvidia แตะระดับสูงสุดใหม่ ส่งผลต่อผลการดำเนินงานเชิงบวกโดยรวมของภาคส่วนเทคโนโลยี

ในขณะเดียวกัน ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เผชิญความผันผวนและปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสกุลเงินต่างๆ โดยการตัดสินใจด้านนโยบายจากธนาคารกลางที่สำคัญทั้งในญี่ปุ่นและยูโรโซน อาจส่งผลกระทบต่อทิศทางของสกุลเงินในปีนี้

ทั้งนี้ การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่กำลังจะมีขึ้น รวมถึง GDP ในไตรมาสที่สี่และการอ่านค่าเงินเฟ้อที่สำคัญ อาจส่งผลต่อการตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัวจะกระตุ้นให้เกิดความคาดหวังในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย แต่ผู้กำหนดนโยบายยังคงสงวนท่าที ขณะที่โอกาสของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมีนาคมเปลี่ยนมาเป็น 50-50 จากระดับต่ำกว่า 80% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยได้รับอิทธิพลจากข้อมูลเชิงบวกเกี่ยวกับยอดค้าปลีกและความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดยเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะเข้าสู่ช่วงเว้นการแสดงความเห็นชั่วคราวก่อนการประชุมนโยบายในวันที่ 30-31 มกราคมนี้  จึงอาจส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยรวมอาจยังคงปรับตัวขึ้นลงอยู่ในกรอบบนได้ในช่วงนี้ โดยอาจใช้ความระมัดระวังมากขึ้นในช่วงเข้าใกล้ปลายเดือนมกราคม

ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (5H) CFD US30 DJIA

แนวต้านสำคัญ : 38013.7, 38034.3, 38067.8

แนวรับสำคัญ : 37946.7, 37926.1, 37892.6                          

5H Outlook  

ที่มา: Investing.com                        

Buy/Long 1 หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 37911.7 - 37946.7 แต่ไม่สามารถเบรกแนวรับที่ 37946.7 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 38028.3 และ SL ที่ประมาณ 37894.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Buy/Long 2 หากสามารถเบรกแนวต้านที่ช่วงราคา 38013.7 - 38048.7 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 38100.0 และ SL ที่ประมาณ 37929.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้                 

Sell/Short 1 หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 38013.7 - 38048.7 แต่ไม่สามารถเบรกแนวต้านที่ 38013.7 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 37940.7 และ SL ที่ประมาณ 38066.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Sell/Short 2 หากสามารถเบรกแนวรับที่ช่วงราคา 37911.7 - 37946.7 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 37857.0 และ SL ที่ประมาณ 38031.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Pivot Points Jan 23, 2024 09:48AM GMT+7