บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐฯ วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2567

Create at 10 months ago (Feb 06, 2024 10:46)

ตลาดหุ้นตอบสนองต่อคำพูดพาวเวลล์: ตลาดหุ้นร่วง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรดีดตัว

ในคืนวันจันทร์ ฟิวเจอร์สหุ้นสหรัฐฯ พบการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยหลังจากตลาดหุ้นโดยรวมร่วงจากอิทธิพลของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เพิ่มขึ้น และความกังวลเกี่ยวกับธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ยังไม่พร้อมที่จะลดอัตราดอกเบี้ยมากเท่าที่คาดไว้ โดยการลดลงของหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงการซื้อขายก่อนหน้านี้มีสาเหตุมาจากการขาดทุนนธุรกิจภาคส่วนต่างๆ เช่น วัสดุพื้นฐาน สาธารณูปโภค และสินค้าอุปโภคบริโภค

ทั้งนี้ ดัชนีหลักของวอลล์สตรีทปิดตัวลดลงเมื่อวันจันทร์ โดยดัชนีดาวโจนส์ประสบกับแรงกดดันเนื่องจากความผันผวนของหุ้นในกลุ่มธุรกิจการบริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการลดลงของหุ้นแมคโดนัลด์ และการเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนจากกระทรวงการคลัง หลังประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ เจอโรม พาวเวลล์ แสดงความเห็นต่อต้านความคาดหวังเรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่ใกล้จะเกิดขึ้น ขณะที่ในช่วงการซื้อขายระหว่างวัน ดัชนี S&P 500 ถอยกลับจากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในสัปดาห์ก่อน และ NASDAQ Composite ปรับตัวลดลง

อย่างไรก็ดี คำแถลงของพาวเวลล์เ "60 นาที" ในคืนวันอาทิตย์ระบุว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมของเฟดในเดือนมีนาคมนั้นไม่น่ามีความเป็นไปได้ ส่งผลให้ความน่าจะเป็นในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมีนาคมเหลือ 16% ซึ่งลดลงจากจุดสูงสุดก่อนหน้านี้ที่ 80% และส่งผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีเพิ่มขึ้น 13 จุดในวันจันทร์ แตะ 4.16%

นอกจากนี้ ปัจจัยเพิ่มเติมที่ทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ได้แก่ ข้อมูลใหม่จากสถาบันเพื่อการจัดการอุปทาน (ISM) ที่แสดงให้เห็นการเติบโตในภาคบริการของสหรัฐฯ ในเดือนมกราคม พร้อมด้วยราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น และเมื่อรวมกับข้อมูลเมื่อวันศุกร์ที่บ่งชี้ถึงความยืดหยุ่นของตลาดแรงงาน ส่งผลให้ความคาดหวังในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลดลงมากขึ้น

ทางด้านหุ้นในกลุ่มการบริโภคเผชิญกับแรงกดดันจากหลายด้าน รวมถึงแมคโดนัลด์ที่รายงานการเติบโตของยอดขายที่ต่ำกว่าที่คาด เนื่องจากการคว่ำบาตรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงในตะวันออกกลาง ขณะที่หุ้น Tesla และกลุ่มธุรกิจเรือสำราญ รวมถึงบริษัท Carnival Corporation เผชิญกับแรงเทขาย ซึ่งเพิ่มความท้าทายให้กับกลุ่มธุรกิจภาคผู้บริโภค

อีกด้าน Nvidia ทำสถิติสูงสุดหลังจากที่ Goldman Sachs ปรับเพิ่มเป้าหมายราคา โดยอ้างมุมมองเชิงบวกในการใช้จ่ายด้านปัญญาประดิษฐ์ ขณะที่ Caterpillar เพิ่มขึ้นจากกำไรต่อหุ้นที่ปรับแล้วในไตรมาสสี่ที่ดีกว่าที่คาดไว้

ในขณะเดียวกัน โบอิ้งเผชิญกับการลดลงมากกว่า 1% หลังจากได้รับคำเตือนถึงความล่าช้าในการส่งมอบ เนื่องจากปัญหาใหม่ที่พบในลำตัวเครื่องบิน 737 บางลำ โดยข้อกังวลด้านความปลอดภัยเพิ่มมากขึ้นนับตั้งแต่เหตุการณ์ล่าสุดที่เกี่ยวข้องกับเครื่องบิน 737 Max 9

ทางด้านผลสำรวจของธนาคารกลางสหรัฐฯ ระบุว่าธนาคารในสหรัฐฯ คาดว่าจะเผชิญกับความต้องการสินเชื่อมากขึ้นหากอัตราดอกเบี้ยลดลง แม้ว่ามาตรฐานในการอนุมัติสินเชื่อบางประเภทจะเข้มงวดขึ้น ขณะที่การสำรวจเผยให้เห็นถึงความกังวลเกี่ยวกับมูลค่าหลักประกันและแนวโน้มทางเศรษฐกิจเชิงลบ ที่ส่งผลกระทบต่อมาตรฐานสินเชื่อด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ บัตรเครดิต และสินเชื่อรถยนต์

ทั้งนี้ เงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หลังจากนักลงทุนปรับความคาดหวังในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่รุนแรง โดยประเด็นสำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้นในสัปดาห์นี้ ได้แก่ คำแถลงจากเจ้าหน้าที่เฟด และรายงานรายได้จากบริษัทสื่อต่างๆ เช่น Walt Disney, Fox และ Warner Music Group รวมถึงบริษัทจีนอย่าง Alibaba และบริษัท Uber, Arm Holdings พร้อมด้วยบริษัทอย่าง Eli Lilly, ConocoPhillips และ PepsiCo โดยคาดว่าจะสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการคาดการณ์ในปี 2024 ได้ ท่ามกลางปฏิทินเศรษฐกิจประจำสัปดาห์ที่ค่อนข้างเงียบเหงา จากการเผยแพร่ข้อมูลสวัสดิการการว่างงานรายสัปดาห์ จึงอาจส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยรวมคาดว่าจะซื้อขายทรงตัวในกรอบบนไปจนถึงปรับตัวลดลงได้เล็กน้อยในช่วงนี้

ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (5H) CFD US30 DJIA

แนวต้านสำคัญ : 38451.9, 38489.3, 38550

แนวรับสำคัญ : 38330.5, 38293.1, 38232.4                  

5H Outlook                 

วิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มา: Investing.com                                    

Buy/Long 1 หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 38230.5 - 38330.5 แต่ไม่สามารถเบรกแนวรับที่ 38330.5 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 38453.7 และ SL ที่ประมาณ 38280.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Buy/Long 2 หากสามารถเบรกแนวต้านที่ช่วงราคา 38451.9 - 38551.9 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 38610.0 และ SL ที่ประมาณ 38280.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้                 

Sell/Short 1 หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 38451.9 - 38551.9 แต่ไม่สามารถเบรกแนวต้านที่ 38451.9 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 38294.9 และ SL ที่ประมาณ 38602.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Sell/Short 2 หากสามารถเบรกแนวรับที่ช่วงราคา 38230.5 - 38330.5 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 38136.0 และ SL ที่ประมาณ 38501.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Pivot Points Feb 6, 2024 09:51AM GMT+7

Name
S3
S2
S1
Pivot Points
R1
R2
R3
Classic 38136.1 38232.4 38294.9 38391.2 38453.7 38550 38612.5
Fibonacci 38232.4 38293.1 38330.5 38391.2 38451.9 38489.3 38550
Camarilla 38313.6 38328.2 38342.7 38391.2 38371.9 38386.4 38401
Woodie's 38119.1 38223.9 38277.9 38382.7 38436.7 38541.5 38595.5
DeMark's - - 38263.6 38375.6 38422.4 - -

Sources: Investing 1Investing 2

______________________________
อัพเกรดความรู้เพิ่มเติม: คลิกที่นี่
รู้เท่าทันสถานการณ์โลกและบทวิเคราะห์เทคนิคขั้นสูงคลิกที่นี่
Tags:

TECHNICAL ANALYSIS

ARTICLES