ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ท่ามกลางความคาดหวังปรับลดอัตราดอกเบี้ยจากเฟด
ฟิวเจอร์สดัชนีหุ้นสหรัฐฯ เคลื่อนไหวเล็กน้อยในช่วงเย็นวันจันทร์ หลังจากที่ Nasdaq พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยได้แรงหนุนจากความแข็งแกร่งในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ท่ามกลางนักลงทุนที่มุ่งเน้นไปที่รายงานผลประกอบการของ Nvidia ที่กำลังจะมีขึ้น ซึ่งคาดว่าจะแสดงการเติบโตของรายได้อย่างมีนัยสำคัญ และยังคงใช้ความระมัดระวังเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยที่อาจเกิดขึ้น จากความกังวลเรื่องเงินเฟ้อของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ
ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ดัชนีดาวโจนส์ปิดเหนือระดับ 40,000 เป็นครั้งแรก ขณะที่ดัชนีหุ้นฟิวเจอร์สอื่นๆ ยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจอาจกำลังเย็นตัวลง กระตุ้นความคาดหวังว่าเฟดอาจลดอัตราดอกเบี้ยภายในเดือนกันยายน และส่งผลให้ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ขึ้นสู่ระดับสูงสุดใหม่
โดยกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีในดัชนี S&P 500 นำกำไรเพิ่มขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นบริษัทผู้ผลิตชิปที่เพิ่มขึ้นอย่าง Nvidia ขณะที่ดาวโจนส์ร่วงลงเล็กน้อยหลังจากขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่โดยรวม ผลประกอบการที่แข็งแกร่งและอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงได้เพิ่มความหวังถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด ส่งผลให้ดัชนีหุ้นหลัก ๆ ยังคงอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยรายงานผลประกอบการของ Nvidia จะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาแนวโน้มการเติบโต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่ภาคธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์พบการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ดี แม้จะมีการเคลื่อนไหวของตลาดในแง่ดี แต่พบความกังวลเกี่ยวกับการประเมินมูลค่าหุ้นเพิ่มขึ้น โดยพบดัชนี S&P 500 มีการซื้อขายสูงกว่าอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) โดยเฉลี่ยในอดีต
Deutsche Bank ได้เพิ่มเป้าหมายราคาสิ้นปี 2024 สำหรับ S&P 500 มาอยู่ที่ 5,500 ซึ่งสูงที่สุดในบรรดาโบรกเกอร์ใหญ่ โดยอ้างถึงผลประกอบการที่แข็งแกร่งขององค์กรต่างๆ ทั้งยังเพิ่มการคาดการณ์กำไรต่อหุ้น (EPS) สำหรับบริษัทในดัชนี S&P 500 มาอยู่ที่ 258 ดอลลาร์ โดยคาดว่าอาจพบการเติบโตต่อไปถึง 271 ดอลลาร์ หากสภาพเศรษฐกิจยังคงเป็นบวก
ในทางตรงกันข้าม JPMorgan Chase & Co. ยังคงมุมมองแนวโน้มตลาดหุ้นแบบขาลง โดยแนะนำว่าตลาดหุ้นอาจไม่ใช่การลงทุนที่น่าสนใจ จากการประเมินมูลค่าที่สูงและส่วนต่างของกำไรที่ตึงตัว อีกทั้งยังอ้างถึงอัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อที่สูง ความตึงเครียดของผู้บริโภค และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ในการเป็นปัจจัยที่สนับสนุนจุดยืนที่ใช้ความระมัดระวัง
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ของ Morgan Stanley ได้คาดการณ์ว่า S&P 500 อาจพุ่งสูงถึง 5,400 ภายในเดือนมิถุนายน 2025 โดยปรับเพิ่มขึ้นจากเป้าหมายก่อนหน้านี้ที่ 4,500 สำหรับเดือนธันวาคมปีนี้ โดยราคาเป้าหมาย 12 เดือนใหม่ของ Morgan Stanley สำหรับ S&P 500 สะท้อนถึงอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) ที่ 19 เท่าจากกำไรต่อหุ้นล่วงหน้าที่ 283 ดอลลาร์ภายในเดือนมิถุนายน 2026
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ของ Morgan Stanley ยังเน้นย้ำถึงศักยภาพของ AI ในการเพิ่มอัตรากำไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคส่วนธุรกิจที่อาจได้รับประโยชน์ เช่น ซอฟต์แวร์และบริการ การบริการผู้บริโภค อุปกรณ์และบริการด้านสุขภาพ บริการทางการเงิน และสื่อและความบันเทิง โดย Morgan Stanley ได้ให้ความสนใจกับตลาดหุ้นญี่ปุ่นและยุโรปเนื่องจากการประเมินมูลค่าที่น่าดึงดูดและผลกำไรที่ยังคงยืดหยุ่น ขณะเดียวกันกับการเลือกลงทุนในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ โดยมุ่งเน้นไปที่อินเดียและเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ในเกาหลีและไต้หวัน
ทางด้านธนาคารกลางสหรัฐฯ เตรียมเปิดเผยรายงานการประชุมครั้งล่าสุด พร้อมกับเจ้าหน้าที่เฟดที่จะแถลงในสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่เฟดยังคงย้ำเตือนถึงความจำเป็นที่จะต้องมีหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อยืนยันแนวโน้มของอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงก่อนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งอาจเริ่มขึ้นในเดือนกันยายน ขณะที่ความสนใจของนักลงทุนอยู่ที่รายงานตัวเลขสินค้าคงทนและข้อมูลความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เพื่อมองหาสัญญาณเพิ่มเติมของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ และยืนยันถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดที่อาจเกิดขึ้นในปีนี้
ทั้งนี้ Nvidia ซึ่งเป็นธุรกิจผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรม AI มีกำหนดรายงานผลประกอบการในวันพุธนี้ และคาดว่าจะมีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะในภาค AI หลังจากที่หุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้นเกือบ 92% ในปีนี้ จากความคาดหวังที่สูงขึ้นในหน่วยประมวลผลกราฟิกเฉพาะด้าน AI โดย Nvidia คาดการณ์การเติบโตของรายได้ ซึ่งได้รับแรงหนุนจากหน่วยดาต้าเซ็นเตอร์ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ากำไรต่อหุ้นจะเพิ่มขึ้นเป็น 5.57 ดอลลาร์จาก 1.09 ดอลลาร์ โดยรายงานผลประกอบการจะได้รับการจับตาดูอย่างใกล้ชิด เนื่องจากความคิดเห็นของ CEO เจนเซ่น หวงและการแข่งขันจากผู้ผลิตชิปรายอื่นๆ และบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี เช่น Google และ Amazon อาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มในอนาคตของ Nvidia ได้ จึงอาจส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยรวมอาจยังคงแนวโน้มเชิงบวกได้อยู่บ้างเล็กน้อยในช่วงนี้ ท่ามกลางความผันผวนและความเสี่ยงในการกลับตัวลงได้
ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (1H) CFD US 500 [S&P 500]
แนวต้านสำคัญ : 5310.1, 5310.8, 5311.9
แนวรับสำคัญ : 5307.9, 5307.2, 5306.1
1H Outlook
ที่มา: TradingView
Buy/Long 1 หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 5304.9 - 5307.9 แต่ไม่สามารถเบรกแนวรับที่ 5307.9 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 5310.1 และ SL ที่ประมาณ 5303.4 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Buy/Long 2 หากสามารถเบรกแนวต้านที่ช่วงราคา 5310.1 - 5313.1 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 5315.5 และ SL ที่ประมาณ 5306.4 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Sell/Short 1 หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 5310.1 - 5313.1 แต่ไม่สามารถเบรกแนวต้านที่ 5310.1 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 5307.2 และ SL ที่ประมาณ 5314.6 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Sell/Short 2 หากสามารถเบรกแนวรับที่ช่วงราคา 5304.9 - 5307.9 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 5301.5 และ SL ที่ประมาณ 5311.6 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Pivot Points May 21, 2024 09:36AM GMT+7
Name
|
S3
|
S2
|
S1
|
Pivot Points
|
R1
|
R2
|
R3
|
---|---|---|---|---|---|---|---|
Classic | 5304.3 | 5306.1 | 5307.2 | 5309 | 5310.1 | 5311.9 | 5313 |
Fibonacci | 5306.1 | 5307.2 | 5307.9 | 5309 | 5310.1 | 5310.8 | 5311.9 |
Camarilla | 5307.5 | 5307.8 | 5308 | 5309 | 5308.6 | 5308.8 | 5309.1 |
Woodie's | 5303.9 | 5305.9 | 5306.8 | 5308.8 | 5309.7 | 5311.7 | 5312.6 |
DeMark's | - | - | 5306.7 | 5308.7 | 5309.6 | - | - |
ที่มา: Investing 1, Investing 2
อัพเกรดความรู้เพิ่มเติม: คลิ