บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐฯ วันที่ 4 มิถุนายน 2567

Create at 6 months ago (Jun 04, 2024 10:51)

หุ้นเทคสูงขึ้น Dow เผชิญทิศทางไม่แน่ชัดท่ามกลางความผันผวนของตลาด

ในวันจันทร์ ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ปรับตัวขึ้นเล็กน้อยท่ามกลางเซสชั่นการซื้อขายที่ปั่นป่วนซึ่งได้รับผลกระทบจากข้อมูลภาคการผลิตที่อ่อนตัว และการหยุดชะงักการซื้อขายหุ้นจำนวนมากชั่วคราวเนื่องจากความผิดพลาดจากระบบของ NYSE ในทางกลับกัน ดาวโจนส์ปิดตัวลงเนื่องจากหุ้นในกลุ่มพลังงานลดลงจากราคาน้ำมันที่ตกต่ำ และตัวเลขภาคการผลิตที่บ่งชี้ถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์พุ่งขึ้นอย่างมากในวันศุกร์ และถือเป็นการปรับตัวสูงที่สุดของปี ท่ามกลางเดือนที่มีการซื้อขายที่แข็งแกร่งจากนักลงทุน โดยได้รับแรงหนุนส่วนหนึ่งจากมาตรวัดเงินเฟ้อของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่เป็นไปตามความคาดหวัง

ทั้งนี้ ฟิวเจอร์สดัชนีหุ้นสหรัฐฯ บ่งชี้ถึงการเริ่มต้นสัปดาห์การซื้อขายที่หลากหลาย โดยความสนใจมุ่งเน้นไปที่รายงานการจ้างงานที่กำลังจะมีขึ้นซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐฯ เกี่ยวกับการปรับอัตราดอกเบี้ยที่อาจเกิดขึ้น โดยในเดือนพฤษภาคม ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 2.4% S&P 500 เพิ่มขึ้น 4.8% และ Nasdaq เพิ่มขึ้น 6.9%

ทางด้าน Nvidia Corporation หลังจากเปิดตัวโปรเซสเซอร์ปัญญาประดิษฐ์รุ่นใหม่ ได้ส่งผลต่อการปรับตัวเพิ่มขึ้นของหุ้นกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีในตลาดวอลล์สตรีทอย่างมีนัยสำคัญ โดยหุ้นของ Nvidia พุ่งขึ้นเกือบ 5% ในวันจันทร์และแตะระดับเกือบสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเซสชั่นหลังการขาย ซึ่ง Nvidia ได้ประกาศสถาปัตยกรรมชิปล่าสุดในนาม "Rubin" โดยมีกำหนดจัดส่งในปี 2026 และมีเป้าหมายเพื่อรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันกับคู่แข่งอย่าง Advanced Micro Devices และ Intel ในขณะที่ AMD ได้เปิดตัวชิป AI ของตัวเอง แต่ส่งผลให้หุ้นลดลงมากกว่า 2%

ขณะเดียวกัน GameStop Corp ประสบกับราคาหุ้นพุ่งสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยปิดสูงขึ้น 21% ในวันจันทร์ หลังจากการเปิดเผยเกี่ยวกับอินฟลูเอนเซอร์ คีธ กิลล์หรือที่รู้จักในชื่อ Roaring Kitty ที่ได้ลงทุนจำนวนมากในบริษัท ซึ่งคล้ายคลึงกับการเพิ่มขึ้นของหุ้นกลุ่มตลาดมีมในปี 2021 ขณะที่ AMC Entertainment Holdings Inc และ Koss Corporation พบการปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน แต่ในอัตราที่ชะลอตัวลง

ทางด้านหุ้นกลุ่มพลังงานลดลงอย่างเห็นได้ชัดมากกว่า 2% ทำให้เกิดแรงกดดันต่อตลาดในวงกว้าง โดยได้รับแรงหนุนจากราคาน้ำมันที่อ่อนแออย่างต่อเนื่อง และการตัดสินใจของ OPEC และพันธมิตรในการยืดการควบคุมการผลิตในปัจจุบันจนถึงปี 2025 อย่างไรก็ตาม กลุ่ม OPEC ได้ประกาศแผนที่จะค่อยๆ ยุติการปรับลดการผลิตบางส่วนหลังไตรมาสที่สาม ซึ่งได้ส่งผลให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับอุปทานส่วนเกินที่อาจเกิดขึ้น ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของอุปสงค์น้ำมันดิบ โดยการเคลื่อนไหวครั้งนี้ส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงในการสนับสนุนตลาดโดย OPEC+ โดยเฉพาะซาอุดีอาระเบีย ซึ่งนักวิเคราะห์ตั้งข้อสังเกตว่าอาจก่อให้เกิดความท้าทายในปี 2025 ได้ ขณะที่บริษัทต่างๆ เช่น Halliburton Company, Diamondback Energy Inc และ Baker Hughes Co เป็นหนึ่งในบริษัทหลักในภาคส่วนนี้ที่เผชิญกับราคาที่ลดลง

อย่างไรก็ดี การคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ทวีความรุนแรงมากขึ้นท่ามกลางตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอในช่วงที่ผ่านมา โดยนักลงทุนเริ่มเดิมพันมากขึ้นถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่อาจเริ่มตั้งแต่เดือนกันยายน ขณะที่เครื่องมือ CME Fedwatch สะท้อนถึงความน่าจะเป็น 52.5% ของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยพื้นฐาน 25 จุดในเดือนกันยายน เพิ่มขึ้นจาก 47% ก่อนหน้านี้ ท่ามกลางข้อมูลดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อในเดือนพฤษภาคมที่ระบุถึงกิจกรรมการผลิตที่ชะลอตัวติดต่อกันเป็นครั้งที่สอง หลังจากการปรับลดตัวเลขข้อมูลผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของสหรัฐฯ ในไตรมาสแรก

โดยปัจจุบัน ความสนใจของตลาดมุ่งเน้นไปที่ข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรในเดือนพฤษภาคมที่กำลังจะเกิดขึ้น และข้อมูลตำแหน่งงานว่างจาก JOLTS ซึ่งทั้งสองข้อมูลจะส่งผลต่อการตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งคาดว่าธนาคารกลางจะยังคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไป

ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (30Min) CFD US 500 [S&P 500]

แนวต้านสำคัญ : 5280.2, 5281.8, 5282.7

แนวรับสำคัญ : 5288.4, 5286.8, 5285.9              

30Min Outlook

วิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มา: TradingView

Buy/Long 1 หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 5285.4 - 5288.4 แต่ไม่สามารถเบรกแนวรับที่ 5288.4 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 5286.2 และ SL ที่ประมาณ 5284.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Buy/Long 2 หากสามารถเบรกแนวต้านที่ช่วงราคา 5280.2 - 5283.2 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 5288.0 และ SL ที่ประมาณ 5281.2 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้                 

Sell/Short 1 หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 5280.2 - 5283.2 แต่ไม่สามารถเบรกแนวต้านที่ 5280.2 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 5282.1 และ SL ที่ประมาณ 5284.7 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Sell/Short 2 หากสามารถเบรกแนวรับที่ช่วงราคา 5285.4 - 5288.4 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 5280.0 และ SL ที่ประมาณ 5287.4 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Pivot Points Jun 4, 2024 10:36AM GMT+7

Name
S3
S2
S1
Pivot Points
R1
R2
R3
Classic 5278 5280.2 5282.1 5284.3 5286.2 5288.4 5290.3
Fibonacci 5280.2 5281.8 5282.7 5284.3 5285.9 5286.8 5288.4
Camarilla 5282.8 5283.1 5283.5 5284.3 5284.3 5284.7 5285
Woodie's 5277.8 5280.1 5281.9 5284.2 5286 5288.3 5290.1
DeMark's - - 5281.1 5283.8 5285.2 - -

ที่มา: Investing 1Investing 2

______________________________
อัพเกรดความรู้เพิ่มเติม: คลิกที่นี่
รู้เท่าทันสถานการณ์โลกและบทวิเคราะห์เทคนิคขั้นสูงคลิกที่นี่
Tags:

TECHNICAL ANALYSIS

ARTICLES