บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐฯ วันที่ 24 มิถุนายน 2567

Create at 5 months ago (Jun 24, 2024 14:56)

ตลาดวอลล์สตรีทใกล้จุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ กลุ่มเทคโนโลยีอาจเผชิญการกลับตัว

แม้จะมีการคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ย แต่ตลาดวอลล์สตรีทยังคงทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยได้แรงหนุนส่วนหนึ่งจากตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะมีการขายทำกำไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคส่วนเทคโนโลยี หลังจากมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในปีนี้

เมื่อวันศุกร์ ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ปิดตัวลงเล็กน้อยเนื่องจากการลดลงของหุ้น Nvidia (NASDAQ:NVDA) ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาคเทคโนโลยีมากที่สุดในบรรดา 11 กลุ่มธุรกิจหลักของ S&P 500 ขณะที่ธุรกิจการบริการสื่อสารขึ้นนำทำกำไร

ทั้งนี้ ฟิวเจอร์สดัชนีหุ้นสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเล็กน้อยในช่วงเย็นวันอาทิตย์ โดยดัชนีหลักเข้าใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากนักลงทุนจับตาดูข้อมูลเงินเฟ้อเพื่อวัดแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย หลังจากตลาดวอลล์สตรีทได้รับผลกระทบจากข้อมูลดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อที่แข็งแกร่งอย่างไม่คาดคิดในสัปดาห์ก่อน ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังคงแข็งแกร่งและศักยภาพของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในการรักษาอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับสูง

ทางด้าน Nvidia ลดลง 3.22% ขณะที่หุ้นเซมิคอนดักเตอร์ Qualcomm (NASDAQ:QCOM), Broadcom (NASDAQ:AVGO) และ Micron Technology (NASDAQ:MU) ลดลงอยู่ในช่วงระหว่าง 1.36% ถึง 4.38% หลังจาก Nvidia ได้ทำข้อตกลงในการใช้เทคโนโลยี AI ในศูนย์ข้อมูลของ Ooredoo ในห้าประเทศในตะวันออกกลาง ซึ่งถือเป็นการใช้งานขนาดใหญ่ครั้งแรกในภูมิภาคที่สหรัฐฯ จำกัดการส่งออกชิปขั้นสูงเพื่อป้องกันการเข้าถึงโดยบริษัทจีน ท่ามกลางนักวิเคราะห์ที่ใช้ความระมัดระวังเกี่ยวกับความยั่งยืนของมูลค่าหุ้นที่ถูกประเมินราคาสูงซึ่งได้ผลักดันผลกำไรของตลาด โดยเฉพาะหุ้นที่เชื่อมโยงกับ AI

ทางด้านหุ้น Spirit AeroSystems (NYSE:SPR) เพิ่มขึ้น 6.00% หลังจากรายงานว่า Boeing (NYSE:BA) ใกล้ปิดดีลซื้อบริษัท ขณะที่หุ้น Sarepta Therapeutics (NASDAQ:SRPT) เพิ่มขึ้น 30.14% หลังจากได้รับการอนุมัติจาก FDA สำหรับการนำไปใช้ในยีนบำบัดสำหรับโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงดูเชนน์

ขณะเดียวกัน Meta Platforms (NASDAQ:META) กำลังเจรจาเพื่อรวมโมเดล AI เข้ากับระบบ AI ใหม่ของ Apple (NASDAQ:AAPL) สำหรับ iPhone ตามรายงานของ Wall Street Journal โดย Apple กำลังพิจารณาความร่วมมือกับบริษัท AI อื่นๆ รวมถึง Anthropic และ Perplexity เพื่อรวมเทคโนโลยี AI เจนเนอเรทีฟเข้ากับอุปกรณ์ของตน ซึ่งคาดว่าจะสามารถช่วยพัฒนาการขายผลิตภัณฑ์ AI และการขายการสมัครสมาชิกระดับพรีเมียมผ่าน Apple Intelligence ได้ โดยกลยุทธ์ AI ใหม่ของ Apple เน้นความเป็นส่วนตัวและการนำเทคโนโลยี AI เข้าไปใช้ในแอพต่างๆ อย่าง Siri รวมถึงการนำ ChatGPT เข้ามาใช้

ทั้งนี้ นักลงทุนยังคงมีทัศนคติเชิงบวกเกี่ยวกับแนวโน้มระยะยาวสำหรับหุ้นเทคโนโลยี เนื่องจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งและศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงของปัญญาประดิษฐ์ อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของราคาที่สูง อย่างเช่น Nvidia ที่เพิ่มขึ้นกว่า 155% ในปีนี้ ได้ทำให้เกิดความกังวลว่าหุ้นกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีอาจอยู่บนยอดที่สูงเกินไป ในขณะที่ตลาดอื่นๆ รวมถึงหุ้นขนาดเล็กและหุ้นมูลค่า เช่น การเงินและอุตสาหกรรม อาจมีมูลค่าต่ำเกินไป อย่างไรก็ตาม หากราคามีการดึงกลับ นักวิเคราะห์ก็เชื่อว่านักลงทุนไม่น่าทิ้งหุ้นเทคโนโลยีและหุ้นเติบโตได้เป็นเวลานาน หลังจากที่ดัชนี Nasdaq 100 เพิ่มขึ้นมากกว่า 400% ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับดัชนี Russell 1000 Value ที่เพิ่มขึ้นประมาณ 70% ซึ่งหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอาจฟื้นตัวขึ้นได้อย่างรวดเร็วเนื่องจากนักลงทุนรอช้อนซื้อในราคาที่ต่ำ

ทางด้านนักวิเคราะห์ของ Deutsche Bank คาดการณ์ว่าดัชนี S&P 500 อาจกลับตัวอีกครั้ง หลังจากที่คาดการณ์ได้อย่างแม่นยำถึงการลดลงครั้งก่อนในเดือนเมษายน โดยอ้างถึงตัวชี้วัดสำคัญสามประการ คือ การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของตราสารทุนในกองทุน การไหลเข้าของกองทุนตราสารทุนติดต่อกันเก้าสัปดาห์ และช่วงการห้ามซื้อคืนที่ใกล้เข้ามา ซึ่งจำกัดบริษัทในการซื้อหุ้นคืนก่อนที่จะเปิดเผยรายได้รายไตรมาส โดยปัจจัยเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าตลาดอาจหยุดชะงักชั่วคราว เนื่องจากกระแสเงินทุนที่ไหลเข้าอย่างมีนัยสำคัญและความเสี่ยงของเงินทุนสูง ควบคู่ไปกับความต้องการหุ้นที่ลดลงในช่วงห้ามการซื้อขาย ที่อาจหยุดแรงบวกของตลาดได้

ในทางกลับกัน นักวิเคราะห์ของ Goldman Sachs ได้เน้นย้ำถึงความกังวลเกี่ยวกับอัตราภาษีที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อบริษัทในสหรัฐฯ ที่มีการดำเนินงานระหว่างประเทศที่สำคัญในขณะที่การเลือกตั้งของสหรัฐฯ ใกล้เข้ามา โดยเตือนว่าภาษีศุลกากรอาจก่อให้เกิดความท้าทายเนื่องจากมาตรการตอบโต้และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อหุ้นที่ต้องพึ่งพารายได้และซัพพลายเออร์ระหว่างประเทศเป็นอย่างมาก ซึ่งนักวิเคราะห์ตั้งข้อสังเกตถึงโอกาสที่ทรัมป์จะได้เป็นประธานาธิบดีนั้นสูงกว่าเมื่อเทียบกับไบเดน และการเพิ่มภาษีอาจมีแนวโน้มมากกว่าภายใต้การบริหารโดยทรัมป์ โดยแนะนำให้นักลงทุนติดตามการเลือกตั้งอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในบริษัทที่มีความเสี่ยงในระดับระหว่างประเทศ

ทางด้านกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ได้แนะนำร่างกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจำกัดการลงทุนเฉพาะในภาคส่วน AI และเทคโนโลยีอื่นๆ ในประเทศจีน โดยอ้างถึงข้อกังวลด้านความมั่นคงของชาติ อันเนื่องมาจากคำสั่งของประธานาธิบดีไบเดน ที่อาจกำหนดให้หน่วยงานของสหรัฐฯ ประเมินและจำกัดธุรกรรมที่อาจเป็นการสนับสนุนจีนในการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง โดยกฎดังกล่าวมุ่งเป้าไปที่การลงทุนในเซมิคอนดักเตอร์ ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ควอนตัม และ AI ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อป้องกันไม่ให้เทคโนโลยีของสหรัฐฯ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลกของจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการใช้งานทางการทหาร โดยจะเปิดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะเกี่ยวกับกฎที่เสนอจนถึงวันที่ 4 สิงหาคม และคาดว่าจะมีการบังคับใช้ภายในสิ้นปีนี้

ล่าสุด ความสนใจของตลาดมุ่งเน้นไปที่การรายงานข้อมูลเงินเฟ้อ PCE ที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งจะเป็นตัวบ่งชี้สำคัญต่อการตัดสินใจด้านนโยบายการเงินของเฟด โดยมีการคาดการณ์ว่าเงินเฟ้ออาจเริ่มเย็นตัวลงเล็กน้อย แต่อาจยังคงสูงกว่าเป้าหมายของเฟดที่ 2% ขณะที่รายงานผลประกอบการที่สำคัญจากบริษัทต่างๆ เช่น FedEx, Micron Technology, Nike และ Walgreens Boots Alliance คาดว่าจะเปิดเผยในสัปดาห์นี้ เพื่อให้ข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวโน้มทางเศรษฐกิจ

ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (1D) CFD US30 DJIA

แนวต้านสำคัญ : 39174.3, 39180.8, 39191.3

แนวรับสำคัญ : 39153.3, 39146.8, 39136.3                

1D Outlook 

วิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มา: TradingView                                           

Buy/Long 1 หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 39093.3 - 39153.3 แต่ไม่สามารถเบรกแนวรับที่ 39153.3 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 39174.3 และ SL ที่ประมาณ 39063.3 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Buy/Long 2 หากสามารถเบรกแนวต้านที่ช่วงราคา 39174.3 - 39234.3 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 39262.0 และ SL ที่ประมาณ 39123.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้                 

Sell/Short 1 หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 39174.3 - 39234.3 แต่ไม่สามารถเบรกแนวต้านที่ 39174.3 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 39146.1 และ SL ที่ประมาณ 39264.3 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Sell/Short 2 หากสามารถเบรกแนวรับที่ช่วงราคา 39093.3 - 39153.3 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 39060.0 และ SL ที่ประมาณ 39204.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Pivot Points Jun 24, 2024 02:39PM GMT+7

Name
S3
S2
S1
Pivot Points
R1
R2
R3
Classic 39118.6 39136.3 39146.1 39163.8 39173.6 39191.3 39201.1
Fibonacci 39136.3 39146.8 39153.3 39163.8 39174.3 39180.8 39191.3
Camarilla 39148.4 39151 39153.5 39163.8 39158.5 39161 39163.6
Woodie's 39114.8 39134.4 39142.3 39161.9 39169.8 39189.4 39197.3
DeMark's - - 39141.2 39161.4 39168.8 - -

ที่มา: Investing 1Investing 2

______________________________
อัพเกรดความรู้เพิ่มเติม: คลิกที่นี่
รู้เท่าทันสถานการณ์โลกและบทวิเคราะห์เทคนิคขั้นสูงคลิกที่นี่
Tags:

TECHNICAL ANALYSIS

ARTICLES