เศรษฐกิจญี่ปุ่นหดตัวเกินกว่าคาด สร้างความกังวลถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจญี่ปุ่นในไตรมาสแรกหดตัวมากกว่าการรายงานก่อนหน้านี้ ตามการแก้ไขข้อมูล GDP นอกเหนือกำหนดที่เผยแพร่เมื่อวันจันทร์ สร้างความสงสัยต่อแนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่เปราะบาง โดยนักวิเคราะห์กล่าวว่าการปรับลดอัตราการเติบโตดังกล่าวคาดว่าจะส่งผลให้ธนาคารกลางญี่ปุ่นปรับลดการคาดการณ์การเติบโตต่อไป และอาจส่งผลต่อช่วงเวลาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ทั้งนี้ ข้อมูล GDP ที่ปรับปรุงใหม่แสดงให้เห็นการหดตัว 2.9% เมื่อเทียบเป็นรายปีในไตรมาสเดือนมกราคม-มีนาคม ซึ่งแย่กว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 1.8% โดยการหดตัวส่วนใหญ่เกิดจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ลดลงท่ามกลางค่าจ้างที่ซบเซาและอัตราเงินเฟ้อที่คงอยู่ แม้ว่าการใช้จ่ายของผู้บริโภคคาดว่าจะดีขึ้นในไตรมาสที่สองพร้อมกับการเพิ่มขึ้นของค่าจ้าง แต่ขอบเขตการกระตุ้นทางเศรษฐกิจยังคงไม่แน่นอน
สำหรับการเติบโตของการใช้จ่ายในครัวเรือนของญี่ปุ่นมีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างมากในเดือนพฤษภาคม โดยการชะลอตัวของการใช้จ่ายซึ่งเป็นตัวชี้วัดการบริโภคภาคเอกชนที่สำคัญอาจขัดขวางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่า GDP จะฟื้นตัวในไตรมาสนี้โดยได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ในประเทศ ค่าจ้าง และรายจ่ายฝ่ายทุนที่สูงขึ้น แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นในสหรัฐฯ และยุโรป รวมถึงการชะลอตัวในจีนจะก่อให้เกิดความเสี่ยงก็ตาม
ในเดือนมิถุนายน อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในโตเกียวเร่งตัวขึ้นเนื่องจากต้นทุนเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น และผลกระทบของเงินเยนที่อ่อนค่าต่อราคานำเข้า ทำให้ตลาดยังคงคาดการณ์ว่าธนาคารกลางอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วๆ นี้ ขณะที่อัตราการว่างงานของญี่ปุ่นยังคงอยู่ที่ 2.6% ในเดือนพฤษภาคม ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อน
สำหรับกิจกรรมโรงงานของญี่ปุ่นยังคงทรงตัวในเดือนมิถุนายน เนื่องจากความต้องการที่อ่อนแอและต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการอ่อนค่าของเงินเยน หลังจากที่ผลผลิตจากโรงงานทั่วประเทศดีดตัวขึ้นในเดือนพฤษภาคม เนื่องจากผู้ผลิตรถยนต์ฟื้นตัวจากการหยุดชะงักในการขนส่ง สร้างความหวังในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระดับปานกลาง ในขณะเดียวกัน กิจกรรมการบริการของญี่ปุ่นหดตัวในเดือนมิถุนายนเป็นครั้งแรกในรอบเกือบสองปี เนื่องจากอุปสงค์ในประเทศที่ลดลง แม้ว่าความเชื่อมั่นทางธุรกิจและตัวชี้วัดการจ้างงานจะยังคงเป็นบวก โดยภาคบริการยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ และชดเชยผลการดำเนินงานในภาคการผลิตที่อ่อนแอ
อีกด้าน ธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น (BOJ) กำลังสำรวจผู้เข้าร่วมในตลาดพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น (JGB) เกี่ยวกับแผนการปรับลดพันธบัตร ตามแหล่งข่าว 3 แห่ง โดยแบบสำรวจนี้จะแจ้งให้ทราบถึงการอภิปรายในการประชุม BOJ กับผู้เข้าร่วมตลาดตราสารหนี้ในวันที่ 9-10 กรกฎาคม โดย BOJ ซึ่งถือพันธบัตรประมาณครึ่งหนึ่งของ JGB ทั้งหมดที่ 589 ล้านล้านเยน (3.7 ล้านล้านดอลลาร์) ตั้งเป้าที่จะลดการถือครองพันธบัตรในอีกหนึ่งถึงสองปีข้างหน้า ซึ่งการสำรวจนี้มีจุดประสงค์เพื่อสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับช่วงและอัตราการปรับลดที่คาดหวังจากทั้งธนาคาร บริษัทนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ และบริษัทประกันภัย
ทั้งนี้ การมีส่วนร่วมที่น้อยลงของ BOJ ในตลาดตราสารหนี้ คาดว่าจะส่งผลให้ตลาดผู้ซื้อ JGB มีความเสถียรมากขึ้น เพื่อป้องกันการเทขายพันธบัตรที่อาจทำให้อัตราผลตอบแทนพุ่งสูงขึ้น โดยคณะกรรมการกระทรวงการคลังแนะนำถึงการสร้างความน่าสนใจในพันธบัตรรัฐบาลสำหรับสถาบันการเงินมากขึ้น โดยการออกตราสารหนี้ที่มีระยะเวลาสั้นลง
อย่างไรก็ดี BOJ ได้บอกเป็นนัยเกี่ยวกับแผนการกระชับเชิงปริมาณ (QT) ในเดือนกรกฎาคมอาจมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ และอาจรวมถึงการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ท่ามกลางการแข็งค่าของเงินเยนอีกครั้ง ซึ่งอาจผลักดันให้อัตราเงินเฟ้อสูงกว่าเป้าหมาย 2% จากต้นทุนการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ แหล่งข่าวระบุว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจเกิดขึ้นได้การประชุมนโยบายแต่ละครั้ง ซึ่งรวมถึงการประชุมเดือนกรกฎาคม โดยผู้ว่าการ BOJ อุเอดะแนะนำให้ลดการซื้อพันธบัตรลงอย่างมากเพื่อช่วยให้ตลาดเคลื่อนตัวออกจากการควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทน ซึ่งเป็นนโยบายที่สิ้นสุดในเดือนมีนาคม ซึ่งแผน QT ของ BOJ มีเป้าหมายเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรพุ่งสูงขึ้น ในขณะเดียวกันกับการจัดการการอ่อนค่าของเงินเยน
อีกด้าน เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ทรงตัวเมื่อเทียบกับเงินเยน และแตะระดับ 161.745 ในช่วงเช้าของวันอังคาร ซึ่งสูงที่สุดในรอบเกือบ 38 ปี จากความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญของอัตราดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่น
เมื่อวันอังคาร ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ เจอโรม พาวเวลล์ บอกเป็นนัยถึงความเป็นไปได้ที่จะเริ่มวงจรการผ่อนคลายทางการเงินในปลายปีนี้ โดยในการประชุมนโยบายการเงินในโปรตุเกส พาวเวลล์กล่าวถึงความคืบหน้าที่สำคัญเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อ และชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ อยู่บนเส้นทางเงินเฟ้อที่ลดลง
ทางด้านการสำรวจตำแหน่งงานว่างและการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) รายงานถึงตำแหน่งงานว่างที่เพิ่มขึ้น 221,000 ตำแหน่งมาอยู่ที่ 8.140 ล้าน ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม ซึ่งสูงกว่าการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่ 7.910 ล้าน
โดยหลังจากความคิดเห็นของพาวเวลล์และรายงาน JOLTS อัตราดอกเบี้ยฟิวเจอร์สของสหรัฐฯ สะท้อนถึงโอกาส 69% ที่จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายน เพิ่มขึ้นจาก 63% ในวันจันทร์ ขณะที่ตลาดยังคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยหนึ่งถึงสองครั้งในปี 2024
ทางด้านการใช้จ่ายด้านการก่อสร้างของสหรัฐฯ ลดลงอย่างไม่คาดคิดในเดือนพฤษภาคม เนื่องจากอัตราการจำนองที่สูงขึ้นซึ่งส่งผลกระทบต่อการสร้างบ้านเดี่ยว โดยการฟื้นตัวคาดว่าจะเป็นไปได้ช้า ขณะที่อุปทานที่อยู่อาศัยปรับดีขึ้น
ล่าสุด ค่าเงินดอลลาร์ได้รับแรงหนุนจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่เพิ่มขึ้น โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ปรับขึ้นเกือบ 14 จุดมาอยู่ที่ 4.479% ในชั่วข้ามคืน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากความคาดหวังถึงโดนัลด์ ทรัมป์ที่อาจได้เป็นประธานาธิบดี ที่อาจนำไปสู่การขึ้นภาษีศุลกากรและการกู้ยืมของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม เมื่อวันอังคาร อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีได้ลดลง 4.3 จุดพื้นฐานมาอยู่ที่ 4.435%
นอกจากนี้ Secured Overnight Financing Rate (SOFR) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดต้นทุนการกู้ยืมในตลาดสัญญาซื้อคืนของสหรัฐฯ ขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมกราคมที่ 5.4% การเพิ่มขึ้นนี้บ่งชี้ถึงสภาพคล่องที่ลดน้อยลง ซึ่งได้รับอิทธิพลจากอุปทานหนี้คลังจำนวนมาก และความตึงตัวในงบดุลของธนาคาร ขณะที่อัตราที่พุ่งสูงขึ้นยังสอดคล้องกับการใช้เครื่องมือ Reverse Repo ของธนาคารกลางสหรัฐฯ แห่งนิวยอร์กที่เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งสัญญาณเงินสดที่ขาดแคลนในตลาดเงินทุนที่สำคัญในวอลล์สตรีท
ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (1D) CFD USD/JPY
แนวต้านสำคัญ : 161.69, 161.81, 162.00
แนวรับสำคัญ : 161.31, 161.19, 161.00
1D Outlook
ที่มา: TradingView
Buy/Long 1 หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 160.81 – 161.31 แต่ไม่สามารถเบรกแนวรับที่ 161.31 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 161.73 และ SL ที่ประมาณ 160.56 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Buy/Long 2 หากสามารถเบรกแนวต้านที่ช่วงราคา 161.69 – 162.19 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 162.23 และ SL ที่ประมาณ 161.06 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Sell/Short 1 หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 161.69 – 162.19 แต่ไม่สามารถเบรกแนวต้านที่ 161.69 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 161.23 และ SL ที่ประมาณ 162.44 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Sell/Short 2 หากสามารถเบรกแนวรับที่ช่วงราคา 160.81 – 161.31 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 160.27 และ SL ที่ประมาณ 161.94 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Pivot Points Jul 3, 2024 11:09AM GMT+7
Name
|
S3
|
S2
|
S1
|
Pivot Points
|
R1
|
R2
|
R3
|
---|---|---|---|---|---|---|---|
Classic | 160.72 | 161 | 161.23 | 161.5 | 161.73 | 162 | 162.23 |
Fibonacci | 161 | 161.19 | 161.31 | 161.5 | 161.69 | 161.81 | 162 |
Camarilla | 161.3 | 161.35 | 161.39 | 161.5 | 161.49 | 161.53 | 161.58 |
Woodie's | 160.68 | 160.98 | 161.19 | 161.48 | 161.69 | 161.98 | 162.19 |
DeMark's | - | - | 161.11 | 161.44 | 161.61 | - | - |
ที่มา: Investing 1, Investing 2
อัพเกรดความรู้เพิ่มเติม: คลิ