บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐฯ วันที่ 6 สิงหาคม 2567

Create at 3 months ago (Aug 06, 2024 10:04)

ตลาดสหรัฐฯ ร่วงจากความผันผวนและความกลัวภาวะเศรษฐกิจถดถอย

ตลาดหุ้นทั่วโลกเริ่มต้นสัปดาห์ด้วยการเทขายอย่างหนัก นับเป็นการพุ่งสูงขึ้นของความผันผวนครั้งใหญ่ที่สุดภายในหนึ่งวัน โดยสัญญาซื้อขายล่วงหน้าและสกุลเงินดิจิทัลร่วงลงอย่างรวดเร็ว สะท้อนถึงวิกฤตการณ์ทางการเงินที่ผ่านมา ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่มีเหตุการณ์ใดที่กระตุ้นให้เกิดการเทขายดังกล่าว แต่รายงานการจ้างงานของสหรัฐฯ ประจำเดือนกรกฎาคมในวันศุกร์ที่น่าผิดหวังก็มีบทบาทสำคัญ

ในวันจันทร์ หุ้นสหรัฐฯ ดิ่งลง โดยดัชนี Nasdaq และ S&P 500 ร่วงลงกว่า 3% ซึ่งถือเป็นการร่วงลงต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่แล้วเนื่องจากความกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยและหุ้นของ Apple ที่ร่วงลงอย่างรวดเร็วหลังจากนักลงทุนรายใหญ่ลดการถือหุ้น อย่างไรก็ตาม สัญญาซื้อขายล่วงหน้าดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยในช่วงเย็นของวันเดียวกัน โดยได้รับแรงหนุนจากการซื้อหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีที่ถูกลง

ทั้งนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ รวมถึงรายงานการจ้างงานสหรัฐฯ ที่อ่อนแอ กระตุ้นให้เกิดความกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย และส่งผลให้นักลงทุนเทขายสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง โดยความกังวลว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวเร็วกว่าที่คาดไว้ และธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจตัดสินใจผิดพลาดโดยไม่ปรับอัตราดอกเบี้ย ได้มีส่วนเพิ่มความวิตกกังวลให้กับตลาด

ขณะเดียวกัน ดัชนี Cboe (VIX) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดความผันผวนของตลาดที่สำคัญ ได้พุ่งขึ้นสูงสุดในรอบวันเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โดยปิดที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2020 โดยการพุ่งขึ้นของดัชนี VIX นี้เกิดจากหลายปัจจัย จากการที่นักลงทุนพยายามดิ้นรนป้องกันความเสี่ยงจากการแกว่งตัวของตลาด และรวมถึงสภาพคล่องในการซื้อขายที่ไม่ดี

โดยคลื่นความผันผวนของตลาดมักจะตามมาด้วยกระแสที่สงบนิ่ง หลังจากที่ในอดีต ดัชนี S&P 500 สามารถหลีกเลี่ยงการร่วงลง 2% หรือมากกว่านั้นเป็นเวลา 356 เซสชั่น ติดต่อกันยาวนานที่สุดตั้งแต่ปี 2007 ซึ่งการทรงตัวนี้ได้ส่งผลให้เกิดกลยุทธ์ "ขายความผันผวน" (Short volatility) ซึ่งจะได้รับผลกระทบเมื่อสภาวะตลาดเปลี่ยนแปลงไป

อย่างไรก็ดี แม้จะมีความกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่ออสตัน กูลส์บี ประธานเฟดสาขาชิคาโกกลับไม่ได้ให้ความสำคัญกับความกังวลเหล่านี้ และเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่เฟดต้องคงความยืดหยุ่นต่อไป หลังจากภาคบริการของสหรัฐฯ แสดงสัญญาณการฟื้นตัวในเดือนกรกฎาคม ซึ่งช่วยชดเชยการปรับตัวลดลงของตลาดได้เล็กน้อย

ปัจจุบัน นักลงทุนต่างเดิมพันอย่างหนักว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายน ท่ามกลางการเทขายหุ้นที่ได้ส่งผลกระทบเป็นพิเศษต่อหุ้นกลุ่ม "Magnificent Seven" ซึ่งเคยผลักดันให้ดัชนีพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อต้นปีนี้ โดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีได้รับผลกระทบอย่างหนัก จากหุ้นของ Apple ที่ร่วงลง 4.8% หลังจากที่ Berkshire Hathaway ลดสัดส่วนการถือหุ้นลงครึ่งหนึ่ง ขณะที่หุ้น Nvidia พุ่งขึ้น 2.4% หลังจากที่ร่วงลงกว่า 6% ก่อนหน้านี้ เนื่องจากมีรายงานว่าชิป AI รุ่นล่าสุดของบริษัทมีข้อบกพร่องด้านการออกแบบ และหุ้น Alphabet พุ่งขึ้นเล็กน้อยหลังจากที่ร่วงลง 4.5% หลังจากที่ศาลตัดสินว่าบริษัทละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดในฟีเจอร์เครื่องมือค้นหาของบริษัท ท่ามกลางหุ้น Kellanova ผู้ผลิต Pringles ที่พุ่งขึ้น 16.2% หลังจากที่รายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ระบุว่า Mars บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านขนมกำลังพิจารณาเข้าซื้อกิจการของบริษัท

ทางด้านหุ้นธนาคารของสหรัฐฯ ร่วงลงเช่นกัน โดยดัชนีหลักของหุ้นกลุ่มธนาคารลดลงอย่างเห็นได้ชัด ท่ามกลางอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและวิกฤตความเชื่อมั่นจากปีก่อนที่ทำให้นักลงทุนระมัดระวังในการลงทุนในภาคส่วนนี้ โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่อาจเกิดขึ้นอาจเป็นประโยชน์ต่อธนาคารขนาดกลาง ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนทางการเงินและกระตุ้นความต้องการสินเชื่อได้

ทั้งนี้ รายงานผลประกอบการที่โดดเด่นและราคาน้ำมันที่ผันผวน ซึ่งเกิดจากความกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยและความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ จะยังคงเป็นประเด็นสำคัญในสัปดาห์นี้ แม้ว่าบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งจะรายงานผลประกอบการไปแล้วที่ผ่านมา แต่บริษัทหลายแห่งยังคงคาดว่าจะรายงานผลประกอบการที่สำคัญ จาก Caterpillar Inc บริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรม Uber Technologies Inc และ Walt Disney Company รวมถึง Warner Bros Discovery Inc ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการบันเทิง จะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับภาคการผลิตและสุขภาพของผู้บริโภค รวมไปถึง Eli Lilly ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในด้านการดูแลสุขภาพและ Super Micro Computer ซึ่งจะให้ข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญเกี่ยวกับความต้องการของอุตสาหกรรม AI

ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (1H) CFD US30 DJIA

แนวต้านสำคัญ : 39116.7, 39157.6, 39223.6

แนวรับสำคัญ : 38984.7, 38943.8, 38877.8                     

1H Outlook                             

วิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐฯที่มา: TradingView           

Buy/Long 1 หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 38784.7 - 38984.7 แต่ไม่สามารถเบรกแนวรับที่ 38984.7 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 39134.9 และ SL ที่ประมาณ 38684.7 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Buy/Long 2 หากสามารถเบรกแนวต้านที่ช่วงราคา 39116.7 - 39316.7 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 39450.0 และ SL ที่ประมาณ 38884.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้                 

Sell/Short 1 หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 39116.7 - 39316.7 แต่ไม่สามารถเบรกแนวต้านที่ 39116.7 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 38962.0 และ SL ที่ประมาณ 39416.7 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Sell/Short 2 หากสามารถเบรกแนวรับที่ช่วงราคา 38784.7 - 38984.7 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 38610.0 และ SL ที่ประมาณ 39216.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Pivot Points Aug 6, 2024 09:36AM GMT+7

Name
S3
S2
S1
Pivot Points
R1
R2
R3
Classic 38789.1 38877.8 38962 39050.7 39134.9 39223.6 39307.8
Fibonacci 38877.8 38943.8 38984.7 39050.7 39116.7 39157.6 39223.6
Camarilla 38998.8 39014.6 39030.5 39050.7 39062.1 39078 39093.8
Woodie's 38786.9 38876.7 38959.8 39049.6 39132.7 39222.5 39305.6
DeMark's - - 38920 39029.7 39092.9 - -

ที่มา: Investing 1Investing 2

______________________________
อัพเกรดความรู้เพิ่มเติม: คลิกที่นี่
รู้เท่าทันสถานการณ์โลกและบทวิเคราะห์เทคนิคขั้นสูงคลิกที่นี่
Tags:

TECHNICAL ANALYSIS

ARTICLES