ตลาดสหรัฐฯ ร่วงจากความผันผวนและความกลัวภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ตลาดหุ้นทั่วโลกเริ่มต้นสัปดาห์ด้วยการเทขายอย่างหนัก นับเป็นการพุ่งสูงขึ้นของความผันผวนครั้งใหญ่ที่สุดภายในหนึ่งวัน โดยสัญญาซื้อขายล่วงหน้าและสกุลเงินดิจิทัลร่วงลงอย่างรวดเร็ว สะท้อนถึงวิกฤตการณ์ทางการเงินที่ผ่านมา ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่มีเหตุการณ์ใดที่กระตุ้นให้เกิดการเทขายดังกล่าว แต่รายงานการจ้างงานของสหรัฐฯ ประจำเดือนกรกฎาคมในวันศุกร์ที่น่าผิดหวังก็มีบทบาทสำคัญ
ในวันจันทร์ หุ้นสหรัฐฯ ดิ่งลง โดยดัชนี Nasdaq และ S&P 500 ร่วงลงกว่า 3% ซึ่งถือเป็นการร่วงลงต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่แล้วเนื่องจากความกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยและหุ้นของ Apple ที่ร่วงลงอย่างรวดเร็วหลังจากนักลงทุนรายใหญ่ลดการถือหุ้น อย่างไรก็ตาม สัญญาซื้อขายล่วงหน้าดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยในช่วงเย็นของวันเดียวกัน โดยได้รับแรงหนุนจากการซื้อหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีที่ถูกลง
ทั้งนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ รวมถึงรายงานการจ้างงานสหรัฐฯ ที่อ่อนแอ กระตุ้นให้เกิดความกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย และส่งผลให้นักลงทุนเทขายสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง โดยความกังวลว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวเร็วกว่าที่คาดไว้ และธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจตัดสินใจผิดพลาดโดยไม่ปรับอัตราดอกเบี้ย ได้มีส่วนเพิ่มความวิตกกังวลให้กับตลาด
ขณะเดียวกัน ดัชนี Cboe (VIX) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดความผันผวนของตลาดที่สำคัญ ได้พุ่งขึ้นสูงสุดในรอบวันเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โดยปิดที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2020 โดยการพุ่งขึ้นของดัชนี VIX นี้เกิดจากหลายปัจจัย จากการที่นักลงทุนพยายามดิ้นรนป้องกันความเสี่ยงจากการแกว่งตัวของตลาด และรวมถึงสภาพคล่องในการซื้อขายที่ไม่ดี
โดยคลื่นความผันผวนของตลาดมักจะตามมาด้วยกระแสที่สงบนิ่ง หลังจากที่ในอดีต ดัชนี S&P 500 สามารถหลีกเลี่ยงการร่วงลง 2% หรือมากกว่านั้นเป็นเวลา 356 เซสชั่น ติดต่อกันยาวนานที่สุดตั้งแต่ปี 2007 ซึ่งการทรงตัวนี้ได้ส่งผลให้เกิดกลยุทธ์ "ขายความผันผวน" (Short volatility) ซึ่งจะได้รับผลกระทบเมื่อสภาวะตลาดเปลี่ยนแปลงไป
อย่างไรก็ดี แม้จะมีความกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่ออสตัน กูลส์บี ประธานเฟดสาขาชิคาโกกลับไม่ได้ให้ความสำคัญกับความกังวลเหล่านี้ และเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่เฟดต้องคงความยืดหยุ่นต่อไป หลังจากภาคบริการของสหรัฐฯ แสดงสัญญาณการฟื้นตัวในเดือนกรกฎาคม ซึ่งช่วยชดเชยการปรับตัวลดลงของตลาดได้เล็กน้อย
ปัจจุบัน นักลงทุนต่างเดิมพันอย่างหนักว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายน ท่ามกลางการเทขายหุ้นที่ได้ส่งผลกระทบเป็นพิเศษต่อหุ้นกลุ่ม "Magnificent Seven" ซึ่งเคยผลักดันให้ดัชนีพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อต้นปีนี้ โดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีได้รับผลกระทบอย่างหนัก จากหุ้นของ Apple ที่ร่วงลง 4.8% หลังจากที่ Berkshire Hathaway ลดสัดส่วนการถือหุ้นลงครึ่งหนึ่ง ขณะที่หุ้น Nvidia พุ่งขึ้น 2.4% หลังจากที่ร่วงลงกว่า 6% ก่อนหน้านี้ เนื่องจากมีรายงานว่าชิป AI รุ่นล่าสุดของบริษัทมีข้อบกพร่องด้านการออกแบบ และหุ้น Alphabet พุ่งขึ้นเล็กน้อยหลังจากที่ร่วงลง 4.5% หลังจากที่ศาลตัดสินว่าบริษัทละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดในฟีเจอร์เครื่องมือค้นหาของบริษัท ท่ามกลางหุ้น Kellanova ผู้ผลิต Pringles ที่พุ่งขึ้น 16.2% หลังจากที่รายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ระบุว่า Mars บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านขนมกำลังพิจารณาเข้าซื้อกิจการของบริษัท
ทางด้านหุ้นธนาคารของสหรัฐฯ ร่วงลงเช่นกัน โดยดัชนีหลักของหุ้นกลุ่มธนาคารลดลงอย่างเห็นได้ชัด ท่ามกลางอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและวิกฤตความเชื่อมั่นจากปีก่อนที่ทำให้นักลงทุนระมัดระวังในการลงทุนในภาคส่วนนี้ โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่อาจเกิดขึ้นอาจเป็นประโยชน์ต่อธนาคารขนาดกลาง ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนทางการเงินและกระตุ้นความต้องการสินเชื่อได้
ทั้งนี้ รายงานผลประกอบการที่โดดเด่นและราคาน้ำมันที่ผันผวน ซึ่งเกิดจากความกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยและความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ จะยังคงเป็นประเด็นสำคัญในสัปดาห์นี้ แม้ว่าบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งจะรายงานผลประกอบการไปแล้วที่ผ่านมา แต่บริษัทหลายแห่งยังคงคาดว่าจะรายงานผลประกอบการที่สำคัญ จาก Caterpillar Inc บริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรม Uber Technologies Inc และ Walt Disney Company รวมถึง Warner Bros Discovery Inc ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการบันเทิง จะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับภาคการผลิตและสุขภาพของผู้บริโภค รวมไปถึง Eli Lilly ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในด้านการดูแลสุขภาพและ Super Micro Computer ซึ่งจะให้ข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญเกี่ยวกับความต้องการของอุตสาหกรรม AI
ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (1H) CFD US30 DJIA
แนวต้านสำคัญ : 39116.7, 39157.6, 39223.6
แนวรับสำคัญ : 38984.7, 38943.8, 38877.8
1H Outlook
ที่มา: TradingView
Buy/Long 1 หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 38784.7 - 38984.7 แต่ไม่สามารถเบรกแนวรับที่ 38984.7 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 39134.9 และ SL ที่ประมาณ 38684.7 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Buy/Long 2 หากสามารถเบรกแนวต้านที่ช่วงราคา 39116.7 - 39316.7 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 39450.0 และ SL ที่ประมาณ 38884.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Sell/Short 1 หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 39116.7 - 39316.7 แต่ไม่สามารถเบรกแนวต้านที่ 39116.7 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 38962.0 และ SL ที่ประมาณ 39416.7 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Sell/Short 2 หากสามารถเบรกแนวรับที่ช่วงราคา 38784.7 - 38984.7 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 38610.0 และ SL ที่ประมาณ 39216.0 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Pivot Points Aug 6, 2024 09:36AM GMT+7
Name
|
S3
|
S2
|
S1
|
Pivot Points
|
R1
|
R2
|
R3
|
---|---|---|---|---|---|---|---|
Classic | 38789.1 | 38877.8 | 38962 | 39050.7 | 39134.9 | 39223.6 | 39307.8 |
Fibonacci | 38877.8 | 38943.8 | 38984.7 | 39050.7 | 39116.7 | 39157.6 | 39223.6 |
Camarilla | 38998.8 | 39014.6 | 39030.5 | 39050.7 | 39062.1 | 39078 | 39093.8 |
Woodie's | 38786.9 | 38876.7 | 38959.8 | 39049.6 | 39132.7 | 39222.5 | 39305.6 |
DeMark's | - | - | 38920 | 39029.7 | 39092.9 | - | - |
ที่มา: Investing 1, Investing 2
อัพเกรดความรู้เพิ่มเติม: คลิ