บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐฯ วันที่ 13 สิงหาคม 2567

Create at 4 months ago (Aug 13, 2024 10:00)

วอลล์สตรีทฟื้นตัวท่ามกลางความผันผวน จับตาข้อมูลรายได้ค้าปลีกและอัตราเงินเฟ้อ

สัปดาห์ที่แล้ว ตลาดหุ้นเผชิญความผันผวนอย่างหนัก โดยได้รับอิทธิพลจากตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯ ที่อ่อนแอ อย่างไรก็ดี แม้จะมีความผันผวนดังกล่าว ที่เกิดจากความหวาดกลัวภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทก็ยังคงแสดงสัญญาณทรงตัว โดยสัญญาซื้อขายล่วงหน้าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นในวันจันทร์ ท่ามกลางนักลงทุนที่ยังคงใช้ความระมัดระวัง จากข้อมูลเงินเฟ้อที่และรายงานผลประกอบการที่สำคัญของภาคค้าปลีกที่จะเปิดเผยในเร็วๆ นี้

ทั้งนี้ สตาร์บัคส์ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.58% หลังจากมีรายงานว่านักลงทุนที่เป็นนักเคลื่อนไหวอย่างสตาร์บอร์ด แวลู เรียกร้องให้บริษัทเพิ่มราคาหุ้น ขณะที่หุ้นคีย์คอร์ปพุ่งขึ้น 9.1% หลังจากที่สโกเทียแบงก์เข้าซื้อหุ้นส่วนน้อยในธนาคารระดับภูมิภาคของสหรัฐฯ ด้วยข้อตกลงมูลค่า 2.8 พันล้านดอลลาร์ หุ้นฮาวายเอี้ยน อิเล็คทริคร่วงลง 14.45% เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับความยั่งยืน ท่ามกลางหุ้นเจ็ตบลู แอร์เวย์สที่ร่วงลงเกือบ 21% หลังประกาศแผนการขายหุ้นกู้ประเภทไม่ด้อยสิทธิแปลงสภาพมูลค่า 400 ล้านดอลลาร์ ขณะที่หุ้นบี. ไรลีย์ ไฟแนนเชียลร่วงลง 52% หลังจากคาดการณ์ว่าจะขาดทุนสุทธิในไตรมาสที่ 2 และระงับการจ่ายเงินปันผล

อย่างไรก็ดี ดัชนี S&P 500 ปิดตลาดเมื่อสัปดาห์ที่แล้วทรงตัวและฟื้นตัวเล็กน้อยหลังจากการเทขายหุ้นจำนวนมาก โดยปัจจัยต่างๆ เช่น การลดสัดส่วนหนี้ คลาวดิ่ง และสภาพคล่องที่แย่ อาจทำให้ภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงขึ้น ซึ่งในช่วงเวลาปัจจุบัน ทั้งความสัมพันธ์ของหุ้นและความผันผวนได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยดัชนี VIX พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบวันอยู่ที่ 66 เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าระดับก่อนหน้าหรือช่วงที่มีการเทขายหุ้นในเดือนมีนาคม 2020 และวิกฤตการณ์ทางการเงินในปี 2008

ทางด้านนักวิเคราะห์ของ Goldman Sachs ตั้งข้อสังเกตว่ารูปแบบในอดีตบ่งชี้ว่าความสัมพันธ์ของหุ้นและความผันผวนจะค่อยๆ กลับสู่ภาวะปกติในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ในเหตุการณ์ที่คล้ายกันในอดีตนับตั้งแต่ปี 2000 ซึ่งหุ้นกลุ่มวัฏจักรตามหลังหุ้นตั้งรับ (Defensive) มากกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ภายในหนึ่งสัปดาห์ พบความผันผวนและความสัมพันธ์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก บ่งชี้ถึงความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ทั้งความสัมพันธ์ที่แท้ขึ้นจริงและความผันผวนก็ได้ลดลงอย่างช้าๆ แต่ยังคงอยู่เหนือระดับก่อนเกิดเหตุการณ์ที่กระตุ้นความหวาดกลัว แม้เวลาจะล่วงผ่านไปสามเดือน

อย่างไรก็ดี ทิศทางในอนาคตของตลาดหุ้นจะขึ้นอยู่กับการเปิดเผยข้อมูลที่จะเผยแพร่ในเร็วๆ นี้ ซึ่งจะช่วยให้ความกระจ่างเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจ ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ยอดขายปลีก รายได้ของวอลมาร์ท และองค์ประกอบด้านแรงงานจากการสำรวจของธนาคารกลางสหรัฐฯ โดยรายงานการจ้างงานครั้งต่อไปจะมีขึ้นในวันที่ 6 กันยายน แม้ว่าข้อมูลเงินเฟ้อคาดว่าจะมีบทบาทน้อยลง เว้นแต่จะมีเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้น ขณะที่ข้อมูลตลาดแรงงานและผู้บริโภคจะยังคงความสำคัญ

ทั้งนี้ หากความกลัวทางเศรษฐกิจลดลงและตลาดถูกขับเคลื่อนโดยปัจจัยย่อยมากขึ้น การเทขายหุ้นในช่วงที่ผ่านมาอาจเป็นโอกาสในการเข้าซื้อหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งในมูลค่าที่ลดลง ซึ่งในอดีต ความผันผวนมักจะยังคงสูงก่อนวันเลือกตั้ง โดยการประกาศเกี่ยวกับนโยบายเฉพาะที่อาจเกิดขึ้นอาจส่งผลให้เกิดการกระจายตัวของภาคส่วนและหุ้นเพิ่มขึ้น

ทางด้านข้อมูลเงินเฟ้อดัชนีราคาผู้บริโภคที่จะประกาศในวันพุธนี้ คาดว่าจะลดลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า ซึ่งอาจช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลงและส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีความยืดหยุ่นในการเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ย

โดยนอกจากดัชนีราคาผู้บริโภคแล้ว ข้อมูลการผลิตภาคอุตสาหกรรมและยอดขายปลีกที่จะประกาศในช่วงปลายสัปดาห์นี้จะให้ข้อมูลเชิงลึกทางเศรษฐกิจเพิ่มเติม ซึ่งสัญญาณของกิจกรรมที่ชะลอตัวอาจสนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ย แต่ยังเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว

ทางด้านฤดูกาลรายงานผลประกอบการไตรมาสใกล้จะสิ้นสุดลง ท่ามกลางบริษัทส่วนใหญ่ที่ได้รายงานผลประกอบการทางการเงินของตน โดยตามข้อมูลของ FactSet บริษัท 91% ในดัชนี S&P 500 ที่รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ประมาณ 78% มี EPS สูงกว่าที่คาดไว้

โดยในสัปดาห์นี้ รายงานที่สำคัญได้แก่ Home Depot และ Cisco Systems โดย Home Depot และ Walmart เป็นกลุ่มผู้ค้าปลีกหลักที่เตรียมรายงานผลประกอบการ ที่คาดว่าจะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่ามกลางข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอในช่วงที่ผ่านมา พร้อมกันกับบริษัทผู้ผลิตชิปอย่าง Applied Materials ที่มีกำหนดรายงานผลประกอบการเช่นกัน

ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (1H) CFD US 500 [S&P 500]

แนวต้านสำคัญ : 5353.3, 5355.8, 5359.9

แนวรับสำคัญ : 5345.1, 5342.6, 5338.5             

1H Outlook   

วิเคราะห์ตลาดหุ้นสหรัฐฯที่มา: TradingView                             

Buy/Long 1 หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 5338.1 - 5345.1 แต่ไม่สามารถเบรกแนวรับที่ 5345.1 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 5355.5 และ SL ที่ประมาณ 5334.6 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Buy/Long 2 หากสามารถเบรกแนวต้านที่ช่วงราคา 5353.3 - 5360.3 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 5371.0 และ SL ที่ประมาณ 5341.6 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้                 

Sell/Short 1 หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 5353.3 - 5360.3 แต่ไม่สามารถเบรกแนวต้านที่ 5353.3 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 5344.8 และ SL ที่ประมาณ 5363.8 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Sell/Short 2 หากสามารถเบรกแนวรับที่ช่วงราคา 5338.1 - 5345.1 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 5329.0 และ SL ที่ประมาณ 5356.8 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Pivot Points Aug 13, 2024 08:42AM GMT+7

Name
S3
S2
S1
Pivot Points
R1
R2
R3
Classic 5334.1 5338.5 5344.8 5349.2 5355.5 5359.9 5366.2
Fibonacci 5338.5 5342.6 5345.1 5349.2 5353.3 5355.8 5359.9
Camarilla 5348.1 5349 5350 5349.2 5352 5353 5353.9
Woodie's 5334.9 5338.9 5345.6 5349.6 5356.3 5360.3 5367
DeMark's - - 5346.9 5350.3 5357.7 - -

ที่มา: Investing 1Investing 2

______________________________
อัพเกรดความรู้เพิ่มเติม: คลิกที่นี่
รู้เท่าทันสถานการณ์โลกและบทวิเคราะห์เทคนิคขั้นสูงคลิกที่นี่
Tags:

TECHNICAL ANALYSIS

ARTICLES