วอลล์สตรีทฟื้นตัวท่ามกลางความผันผวน จับตาข้อมูลรายได้ค้าปลีกและอัตราเงินเฟ้อ
สัปดาห์ที่แล้ว ตลาดหุ้นเผชิญความผันผวนอย่างหนัก โดยได้รับอิทธิพลจากตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯ ที่อ่อนแอ อย่างไรก็ดี แม้จะมีความผันผวนดังกล่าว ที่เกิดจากความหวาดกลัวภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทก็ยังคงแสดงสัญญาณทรงตัว โดยสัญญาซื้อขายล่วงหน้าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นในวันจันทร์ ท่ามกลางนักลงทุนที่ยังคงใช้ความระมัดระวัง จากข้อมูลเงินเฟ้อที่และรายงานผลประกอบการที่สำคัญของภาคค้าปลีกที่จะเปิดเผยในเร็วๆ นี้
ทั้งนี้ สตาร์บัคส์ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.58% หลังจากมีรายงานว่านักลงทุนที่เป็นนักเคลื่อนไหวอย่างสตาร์บอร์ด แวลู เรียกร้องให้บริษัทเพิ่มราคาหุ้น ขณะที่หุ้นคีย์คอร์ปพุ่งขึ้น 9.1% หลังจากที่สโกเทียแบงก์เข้าซื้อหุ้นส่วนน้อยในธนาคารระดับภูมิภาคของสหรัฐฯ ด้วยข้อตกลงมูลค่า 2.8 พันล้านดอลลาร์ หุ้นฮาวายเอี้ยน อิเล็คทริคร่วงลง 14.45% เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับความยั่งยืน ท่ามกลางหุ้นเจ็ตบลู แอร์เวย์สที่ร่วงลงเกือบ 21% หลังประกาศแผนการขายหุ้นกู้ประเภทไม่ด้อยสิทธิแปลงสภาพมูลค่า 400 ล้านดอลลาร์ ขณะที่หุ้นบี. ไรลีย์ ไฟแนนเชียลร่วงลง 52% หลังจากคาดการณ์ว่าจะขาดทุนสุทธิในไตรมาสที่ 2 และระงับการจ่ายเงินปันผล
อย่างไรก็ดี ดัชนี S&P 500 ปิดตลาดเมื่อสัปดาห์ที่แล้วทรงตัวและฟื้นตัวเล็กน้อยหลังจากการเทขายหุ้นจำนวนมาก โดยปัจจัยต่างๆ เช่น การลดสัดส่วนหนี้ คลาวดิ่ง และสภาพคล่องที่แย่ อาจทำให้ภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงขึ้น ซึ่งในช่วงเวลาปัจจุบัน ทั้งความสัมพันธ์ของหุ้นและความผันผวนได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยดัชนี VIX พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบวันอยู่ที่ 66 เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าระดับก่อนหน้าหรือช่วงที่มีการเทขายหุ้นในเดือนมีนาคม 2020 และวิกฤตการณ์ทางการเงินในปี 2008
ทางด้านนักวิเคราะห์ของ Goldman Sachs ตั้งข้อสังเกตว่ารูปแบบในอดีตบ่งชี้ว่าความสัมพันธ์ของหุ้นและความผันผวนจะค่อยๆ กลับสู่ภาวะปกติในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ในเหตุการณ์ที่คล้ายกันในอดีตนับตั้งแต่ปี 2000 ซึ่งหุ้นกลุ่มวัฏจักรตามหลังหุ้นตั้งรับ (Defensive) มากกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ภายในหนึ่งสัปดาห์ พบความผันผวนและความสัมพันธ์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก บ่งชี้ถึงความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ทั้งความสัมพันธ์ที่แท้ขึ้นจริงและความผันผวนก็ได้ลดลงอย่างช้าๆ แต่ยังคงอยู่เหนือระดับก่อนเกิดเหตุการณ์ที่กระตุ้นความหวาดกลัว แม้เวลาจะล่วงผ่านไปสามเดือน
อย่างไรก็ดี ทิศทางในอนาคตของตลาดหุ้นจะขึ้นอยู่กับการเปิดเผยข้อมูลที่จะเผยแพร่ในเร็วๆ นี้ ซึ่งจะช่วยให้ความกระจ่างเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจ ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ยอดขายปลีก รายได้ของวอลมาร์ท และองค์ประกอบด้านแรงงานจากการสำรวจของธนาคารกลางสหรัฐฯ โดยรายงานการจ้างงานครั้งต่อไปจะมีขึ้นในวันที่ 6 กันยายน แม้ว่าข้อมูลเงินเฟ้อคาดว่าจะมีบทบาทน้อยลง เว้นแต่จะมีเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้น ขณะที่ข้อมูลตลาดแรงงานและผู้บริโภคจะยังคงความสำคัญ
ทั้งนี้ หากความกลัวทางเศรษฐกิจลดลงและตลาดถูกขับเคลื่อนโดยปัจจัยย่อยมากขึ้น การเทขายหุ้นในช่วงที่ผ่านมาอาจเป็นโอกาสในการเข้าซื้อหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งในมูลค่าที่ลดลง ซึ่งในอดีต ความผันผวนมักจะยังคงสูงก่อนวันเลือกตั้ง โดยการประกาศเกี่ยวกับนโยบายเฉพาะที่อาจเกิดขึ้นอาจส่งผลให้เกิดการกระจายตัวของภาคส่วนและหุ้นเพิ่มขึ้น
ทางด้านข้อมูลเงินเฟ้อดัชนีราคาผู้บริโภคที่จะประกาศในวันพุธนี้ คาดว่าจะลดลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า ซึ่งอาจช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลงและส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีความยืดหยุ่นในการเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ย
โดยนอกจากดัชนีราคาผู้บริโภคแล้ว ข้อมูลการผลิตภาคอุตสาหกรรมและยอดขายปลีกที่จะประกาศในช่วงปลายสัปดาห์นี้จะให้ข้อมูลเชิงลึกทางเศรษฐกิจเพิ่มเติม ซึ่งสัญญาณของกิจกรรมที่ชะลอตัวอาจสนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ย แต่ยังเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
ทางด้านฤดูกาลรายงานผลประกอบการไตรมาสใกล้จะสิ้นสุดลง ท่ามกลางบริษัทส่วนใหญ่ที่ได้รายงานผลประกอบการทางการเงินของตน โดยตามข้อมูลของ FactSet บริษัท 91% ในดัชนี S&P 500 ที่รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ประมาณ 78% มี EPS สูงกว่าที่คาดไว้
โดยในสัปดาห์นี้ รายงานที่สำคัญได้แก่ Home Depot และ Cisco Systems โดย Home Depot และ Walmart เป็นกลุ่มผู้ค้าปลีกหลักที่เตรียมรายงานผลประกอบการ ที่คาดว่าจะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่ามกลางข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอในช่วงที่ผ่านมา พร้อมกันกับบริษัทผู้ผลิตชิปอย่าง Applied Materials ที่มีกำหนดรายงานผลประกอบการเช่นกัน
ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (1H) CFD US 500 [S&P 500]
แนวต้านสำคัญ : 5353.3, 5355.8, 5359.9
แนวรับสำคัญ : 5345.1, 5342.6, 5338.5
1H Outlook
ที่มา: TradingView
Buy/Long 1 หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 5338.1 - 5345.1 แต่ไม่สามารถเบรกแนวรับที่ 5345.1 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 5355.5 และ SL ที่ประมาณ 5334.6 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Buy/Long 2 หากสามารถเบรกแนวต้านที่ช่วงราคา 5353.3 - 5360.3 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 5371.0 และ SL ที่ประมาณ 5341.6 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Sell/Short 1 หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 5353.3 - 5360.3 แต่ไม่สามารถเบรกแนวต้านที่ 5353.3 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 5344.8 และ SL ที่ประมาณ 5363.8 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Sell/Short 2 หากสามารถเบรกแนวรับที่ช่วงราคา 5338.1 - 5345.1 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 5329.0 และ SL ที่ประมาณ 5356.8 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Pivot Points Aug 13, 2024 08:42AM GMT+7
Name
|
S3
|
S2
|
S1
|
Pivot Points
|
R1
|
R2
|
R3
|
---|---|---|---|---|---|---|---|
Classic | 5334.1 | 5338.5 | 5344.8 | 5349.2 | 5355.5 | 5359.9 | 5366.2 |
Fibonacci | 5338.5 | 5342.6 | 5345.1 | 5349.2 | 5353.3 | 5355.8 | 5359.9 |
Camarilla | 5348.1 | 5349 | 5350 | 5349.2 | 5352 | 5353 | 5353.9 |
Woodie's | 5334.9 | 5338.9 | 5345.6 | 5349.6 | 5356.3 | 5360.3 | 5367 |
DeMark's | - | - | 5346.9 | 5350.3 | 5357.7 | - | - |
ที่มา: Investing 1, Investing 2
อัพเกรดความรู้เพิ่มเติม: คลิ