ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงท่ามกลางความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ และความผันผวนของตลาดก่อนฤดูกาลรายงานผลประกอบการ
สัญญาซื้อขายล่วงหน้าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงลงในวันจันทร์ หลังจากพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในวันศุกร์ โดยได้รับแรงหนุนจากรายงานการจ้างงานที่ดีเกินคาด ตอกย้ำความแข็งแกร่งของตลาดแรงงาน โดยข้อมูลแรงงานดังกล่าวทำให้นักลงทุนลดการเดิมพันในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ลงอย่างมาก ท่ามกลางผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ความคาดหวังในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลดลง
ทั้งนี้ ตลาดเผชิญกับความท้าทายเพิ่มเติม รวมถึงราคาน้ำมันที่สูงขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดในตะวันออกกลางและความกังวลเกี่ยวกับพายุเฮอริเคนมิลตัน ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ หลังจากพายุเฮอริเคนเฮเลนที่ได้สร้างผลกระทบร้ายแรง นอกจากนี้ ความรู้สึกของตลาดยังได้รับผลกระทบเนื่องจากคำสั่งจากผู้พิพากษาที่สั่งให้ Google ของ Alphabet ปรับเปลี่ยนร้านค้าแอปบนมือถือเพื่อให้มีตัวเลือกสำหรับผู้ใช้มากขึ้น ส่งผลให้หุ้นเทคโนโลยีถูกกดดันหนักขึ้น ท่ามกลางรายงานของนักวิเคราะห์เชิงลบที่กดดัน Amazon และ Apple ส่งผลให้หุ้นของทั้งสองบริษัทร่วงลง
โดยราคาหุ้นของ Alphabet Inc. ร่วงลงกว่า 2% หลังจากผู้พิพากษาสหรัฐฯ ตัดสินให้ Epic Games ชนะคดีต่อต้านการผูกขาด โดยกำหนดให้ Google อนุญาตให้มีทางเลือกอื่นนอกเหนือจาก Play Store บน Android ในขณะเดียวกัน Pfizer พบการเพิ่มขึ้น 2.2% หลังจากมีข่าวว่า Starboard Value เข้าซื้อหุ้นมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์เพื่อผลักดันให้บริษัทฟื้นตัว ท่ามกลางหุ้น Hershey ที่ร่วงลง 2% หลังจากที่ UBS ปรับลดระดับหุ้นเนื่องจากความกังวลเรื่องอัตรากำไรจากเงินเฟ้อ และ Amazon ที่ร่วงลงมากกว่า 3% ขณะที่ Wells Fargo ปรับระดับหุ้น โดยอ้างถึงแรงกดดันด้านการแข่งขันจาก Walmart
ในตลาดโดยรวม มีเพียงกลุ่มพลังงานเท่านั้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 11 กลุ่มของดัชนี S&P 500 โดยเพิ่มขึ้น 0.4% ซึ่งขับเคลื่อนโดยราคาน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น 3.7% ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับอุปทานในตะวันออกกลาง ขณะที่สาธารณูปโภคและการบริการสื่อสารยังคงถูกดดัน จากการลดลง 2.5% ของ Alphabet นอกจากนี้ Apple ยังลดลง 2.3% ถูกกดดันหลังจาก Jefferies ให้คะแนนเป็น “คำแนะนำให้ถือ” ขณะที่หุ้น Generac Holdings ปรับตัวขึ้น 8.5% เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่าความต้องการเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรองจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากพายุเฮอริเคนที่กำลังใกล้เข้ามา
ล่าสุด ปัจจุบันนักลงทุนกำลังรอรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคและดัชนีราคาผู้ผลิตที่จะเผยแพร่ในเร็วๆ นี้ โดยมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อมีกำหนดประกาศในช่วงปลายสัปดาห์นี้ รวมถึงการเริ่มต้นฤดูกาลรายได้ไตรมาสที่สาม โดยจะเริ่มจากรายงานของธนาคารใหญ่ๆ ท่ามกลางความยืดหยุ่นของตลาดแรงงานที่อาจบ่งบอกถึงเสถียรภาพ ขณะที่ข้อมูลเงินเฟ้อจะมีความสำคัญอย่างยิ่งในการกำหนดจุดยืนของเฟดเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม
ทางด้าน Goldman Sachs ได้ปรับปรุงราคาเป้าหมายดัชนี S&P 500 ระยะเวลา 12 เดือนเป็น 6,300 โดยคาดการณ์ผลตอบแทนราคาประจำปีที่ 10% แต่เตือนว่าการประเมินมูลค่าที่สูงอาจจำกัดการเพิ่มขึ้นได้ อีกทั้งยังคาดการณ์การเพิ่มขึ้นที่อาจเกิดขึ้น 15% หากอัตราส่วน P/E ยังคงสูง หรืออาจถึง 20% หากพุ่งไปถึงค่าเฉลี่ยในปี 2021
ทั้งนี้ Goldman Sachs ปรับลดความน่าจะเป็นที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะถดถอยลงเหลือ 15% หลังจากข้อมูลการจ้างงานในเดือนกันยายนแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นที่ไม่คาดคิด โดยระบุว่าการเติบโตของงานยังคงที่พร้อมกับอัตราการว่างงานที่ลดลง และมองว่าอาจสนับสนุนแนวทางการปรับลดอัตราดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไปของธนาคารกลางสหรัฐฯ ต่อไป
ทางด้าน Bank of America มองว่าความผันผวนโดยนัยของหุ้นแต่ละตัวจะเพิ่มขึ้นในฤดูกาลรายงานผลประกอบการนี้ บ่งชี้ถึงการเคลื่อนไหวที่มากขึ้นหลังการรายงานผลประกอบการ โดยการประเมินการเคลื่อนไหวของหุ้นต่ำกว่าความเป็นจริงในไตรมาสที่แล้วบ่งชี้ถึงหุ้นที่อาจให้ผลตอบแทนที่สำคัญหากแนวโน้มความผันผวนยังคงดำเนินต่อไป ตราบใดที่อัตราเงินเฟ้อยังสามารถจัดการได้ ตัวบ่งชี้เศรษฐกิจที่แข็งแกร่งน่าจะช่วยสนับสนุนตลาดหุ้น โดยมองว่าข้อมูล CPI ในวันพฤหัสบดีอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของตลาดที่ขับเคลื่อนโดย CPI ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม
โดยในสัปดาห์นี้จะมีการอัปเดตที่สำคัญเกี่ยวกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ความเชื่อมั่นของธุรกิจขนาดเล็ก และรายงานการประชุม FOMC รวมถึงฤดูกาลรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ที่จะเริ่มขึ้นเช่นกัน โดยธนาคารใหญ่ๆ เช่น JPMorgan, Wells Fargo และ BlackRock จะรายงานผลประกอบการในวันศุกร์ รวมไปถึง PepsiCo และ Delta ในช่วงต้นสัปดาห์
ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (1H) CFD US 500 [S&P 500]
แนวต้านสำคัญ : 5700.6, 5702.7, 5706.1
แนวรับสำคัญ : 5693.8, 5691.7, 5688.3
1H Outlook
ที่มา: TradingView
Buy/Long 1 หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 5683.8 - 5693.8 แต่ไม่สามารถเบรกแนวรับที่ 5693.8 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 5702.5 และ SL ที่ประมาณ 5678.8 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Buy/Long 2 หากสามารถเบรกแนวต้านที่ช่วงราคา 5700.6 - 5710.6 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 5718.5 และ SL ที่ประมาณ 5688.8 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Sell/Short 1 หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 5700.6 - 5710.6 แต่ไม่สามารถเบรกแนวต้านที่ 5700.6 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 5693.6 และ SL ที่ประมาณ 5715.6 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Sell/Short 2 หากสามารถเบรกแนวรับที่ช่วงราคา 5683.8 - 5693.8 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 5676.3 และ SL ที่ประมาณ 5705.6 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้
Pivot Points Oct 8, 2024 10:27AM GMT+7
Name
|
S3
|
S2
|
S1
|
Pivot Points
|
R1
|
R2
|
R3
|
---|---|---|---|---|---|---|---|
Classic | 5684.7 | 5688.3 | 5693.6 | 5697.2 | 5702.5 | 5706.1 | 5711.4 |
Fibonacci | 5688.3 | 5691.7 | 5693.8 | 5697.2 | 5700.6 | 5702.7 | 5706.1 |
Camarilla | 5696.4 | 5697.2 | 5698 | 5697.2 | 5699.6 | 5700.4 | 5701.2 |
Woodie's | 5685.5 | 5688.7 | 5694.4 | 5697.6 | 5703.3 | 5706.5 | 5712.2 |
DeMark's | - | - | 5695.4 | 5698.1 | 5704.3 | - | - |
ที่มา: Investing 1, Investing 2
อัพเกรดความรู้เพิ่มเติม: คลิ