อัตราเงินเฟ้อในอินเดียกลับมาเพิ่มสูงขึ้นกว่าที่คาด

ค่าเงินรูปีอินเดียยังคงอ่อนค่าลงใกล้ 84.4 รูปีต่อดอลลาร์สหรัฐ ในกลางเดือนพฤศจิกายน เนื่องจากธนาคารกลางอินเดีย (RBI) มีแนวโน้มใช้นโยบายที่เข้มงวดเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งถึง 6.2% ในเดือนตุลาคม โดยอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นนี้ได้ลดความคาดหวังเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตามค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้การลงทุนถูกดึงกลับไปในสินทรัพย์สหรัฐ ในขณะเดียวกันก็มีความกังวลว่าเศรษฐกิจของอินเดียจะไม่สามารถรักษาโมเมนตัมการเติบโตที่สูงนี้ได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับการลดลงของดัชนี Sensex และ Nifty หลังทำจุดสูงสุดในเดือนกันยายน

การขาดดุลการค้าสินค้าของอินเดียลดลงมาเล็กน้อยที่ที่ 27,100 ล้านดอลลาร์ในเดือนตุลาคม นับว่าเป็นการขาดดุลที่ลดลงมาจาก 31,500 ล้านดอลลาร์ ในปีก่อนหน้า แม้ว่าการส่งออกของอินเดียจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 17.3% ก็ตาม โดยคิดเป็นมูลค่ากว่า  39,200 ล้านดอลลาร์ โดยสินค้าส่งออกส่วนใหญ่ยังคงเป็นพืชผลทางการเกษตร ได้แก่ ผัก, ผลไม้ และรวมไปถึงอาหารแปรรูปต่างๆ ในขณะเดียวกัน การนำเข้าเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 3.9% คิดเป็น 66,300 ล้านดอลลาร์ แสดงให้เห็นถึงอุปสงค์ภายในประเทศที่ยังคงมีการขยายตัวต่อเนื่อง โดยการนำเข้าส่วนใหญ่ยังคงเป็นการนำเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์ทางการเกษตร 

อัตราเงินเฟ้อรายปีของอินเดียพุ่งสูงถึง 6.21% ในเดือนตุลาคม จาก 5.49% ในเดือนก่อนหน้า สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 5.81% ถือเป็นอัตราเงินเฟ้อสูงสุดในรอบกว่า 1 ปี ส่งผลให้ความคาดหวังในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยกลับมาลดลงอีกครั้ง โดยผลสำรวจพบว่าอัตราเงินเฟ้อสำหรับอาหาร ซึ่งคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของเศรษฐกิจทั้งหมด เพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 10.8% นำโดยการเพิ่มขึ้นของราคาผักและผลไม้ ในขณะเดียวกันราคาเนื้อสัตว์และปลารวมไปถึงไขมันจากสัตว์เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยที่ 3.17% เท่านั้น อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อในกลุ่มเชื้อเพลิงและไฟฟ้ายังคงมีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่อง

PMI ภาคการผลิตของอินเดียอยู่ที่ 57.5 ในเดือนตุลาคม ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ของตลาดที่ 57.4 แสดงให้เห็นถึงการเติบโตของภาคการผลิตที่เร่งตัวขึ้นท่ามกลางสภาพตลาดที่เอื้ออำนวย โดยภาคการผลิตยังคงได้รับแรงสนับสนุนมาจากยอดคำสั่งซื้อใหม่ที่ขยายตัวในอัตราที่เร็วที่สุดในรอบ 20 ปี ในขณะเดียวกัน ยอดขายในต่างประเทศก็กลับมาเติบโตอีกครั้งหลังจากชะลอตัวในเดือนกันยายน ด้านการจ้างงานพบว่าธุรกิจต่างๆได้เพิ่มการจ้างพนักงานเพื่อรองรับการขยายตัวที่กำลังเกิดขึ้น แม้ว่าต้นทุนด้านแรงงานจะเพิ่มขึ้นก็ตาม ส่วนต้นทุนปัจจัยการผลิตเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 3 เดือน แต่ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว ขณะที่ราคาผลผลิตปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงมองที่เป็นบวกมากขึ้นในภาคการผลิต

ด้าน PMI ภาคการผลิตในอินเดียเพิ่มขึ้นเป็น 57.5 จาก 56.5 ในเดือนกันยายน และสูงกว่าค่าคาดการณ์ที่ 57.4 นับเป็นการขยายตัว 39 เดือนติดต่อกัน สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตยอดขายที่แข็งแกร่ง โดยได้รับแรงหนุนมาจากอุปสงค์ภายในประเทศและนอกประเทศที่ยังสามารถขยายตัวเพิ่มขึ้นได้อีกในอนาคต และแสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวของยอดขายจากต่างประเทศที่ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ด้านการจ้างงาน พบว่าธุรกิจต่างๆ รวมถึงธุรกิจเกิดใหม่ ยังคงมีการจ้างพนักงานเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนค่าแรงเพิ่มสูงขึ้น แต่ก็สามารถแบ่งเบาภาระต้นทุนบางส่วนไปให้กับลูกค้าได้

ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (5H)

แนวต้านสำคัญ: 84.504, 84.539, 84.593

แนวรับสำคัญ: 84.416, 84.361, 84.327

ที่มา: Investing.com

Buy/Long 1: หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 84.361 - 84.416 แต่ไม่สามารถเบรกแนวรับที่ 84.416 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 84.539 และ SL ที่ประมาณ 84.327 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

จุดกลับตัว 14 พฤศจิกายน 2567 21:58 น. GMT+7