จีนยังคงเผชิญกับความเสี่ยงด้านภาวะเงินฝืด

ค่าเงินหยวนยังคงอ่อนค่าลงต่อเนื่อง และกลับมาสู่จุดต่ำสุดในรอบ 3 เดือน โดยได้รับแรงกดดันจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วตามข้อมูลอัตราเงินเฟ้อล่าสุด ที่อัตราเงินเฟ้อได้เพิ่มขึ้นไปถึง 2.6% จากที่คาดไว้เพียง 2.4% เท่านั้น นอกจากนี้การเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของ ดอนัลด์ ทรัมป์ ส่งผลให้เกิดแรงกดดันในหลายภาคส่วนโดยเฉพาะการนำเข้าสินค้าไปยังสหรัฐ และมีการคาดการณ์ว่าการกีดกันทางการค้าที่เกิดขึ้นนี้จะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น ด้านข้อมูลเศรษฐกิจของจีน พบว่าจีนยังคงเผชิญกับภาวะเงินฝืดภายในประเทศ โดยการจับจ่ายใช้สอยของภาคครัวเรือนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้การขยายสินเชื่อใหม่ที่หดตัวยังแสดงให้เห็นเถอะความสามารถในการชำระหนี้คืนที่ลดลงตามไปด้วย ทางด้านนักลงทุนเองก็กำลังจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงการผลิตภาคอุตสาหกรรม ยอดขายปลีก และอัตราการว่างงานเพื่อดูแนวโน้มว่าจีนจะมีนโยบายเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจเพิ่มเติมหรือไม่ 

Services PMI ของจีนเพิ่มขึ้นเป็น 52.0 ในเดือนตุลาคม หลังจากที่ทางรัฐบาลเปิดตัวมาตรการการสนับสนุนเศรษฐกิจในช่วงปลายเดือนกันยายน ส่งผลให้ธุรกิจเกิดใหม่เพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน ซึ่งได้รับแรงสนับสนุนจากคำสั่งซื้อสำหรับส่งออกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน การจ้างงานกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้งแม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม ในด้านต้นทุนการผลิตพบว่า ต้นทุนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตและพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้บริษัทต่างๆ จำเป็นต้องผลักภาระบางส่วนไปยังผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมั่นทางธุรกิจกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้งเนื่องจากความพยายามในการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาล ซึ่งส่งผลให้ยอดขายสินค้าเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย

ดุลการค้าของจีนพุ่งขึ้นแตะระดับ 95,270 ล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนตุลาคม สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 75,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยส่วนใหญ่ได้รับแรงหนุนมาจากการส่งออกที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมียอดขายพุ่งขึ้นกว่า 12.7% เมื่อเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งคิดเป็นมูลค่ากว่า 309,060 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยการส่งออกที่เพิ่มขึ้นนี้เนื่องจากลูกค้าจำเป็นต้องสั่งสินค้าในปริมาณที่เพิ่มมากขึ้นเพื่อรองรับกับภาษีเพิ่มเติมจากสหรัฐ ที่อาจเพิ่มขึ้นอย่างมากหลังการขึ้นเป็นประธานาธิบดีของ ดอนัลด์ ทรัมป์ โดยสินค้าส่วนใหญ่ยังคงเป็นวัสดุอลูมิเนียมและโลหะอื่นๆ ซึ่งรวมไปถึงวงจรไฟฟ้า โดยการส่งออกไปยังสหรัฐ, ญี่ปุ่นและสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้นมากกว่า 8.7%

ในด้านการนำเข้าสินค้าไปยังจีนหดตัวลงเล็กน้อยที่ 2.3% เมื่อเทียบเป็นรายปี ลดลงต่ำสุดในรอบ 4 เดือน โดยการนำเข้าชะลอตัวลงเหลือ 213,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แสดงให้เห็นถึงอุปสงค์ภายในประเทศที่ยังอ่อนแอ ซึ่งเป็นผลมาจากความสามารถในการใช้จ่ายที่ลดลง โดยการนำเข้าสินค้าประเภทโลหะและเหล็กลดลงมากที่สุด

อัตราเงินเฟ้อของจีนอยู่ที่ 0.3% ในเดือนตุลาคม นับเป็นการขยายตัวของอัตราเงินเฟ้อน้อยที่สุดในรอบ 9 เดือน แล้วแสดงเพิ่มเติมความเสี่ยงจากภาวะเงินฝืดที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น แม้ว่าทางรัฐบาลจะมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัวก็ตาม โดยอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงนี้เกิดจากต้นทุนการเติบโตที่ลดลงไปกว่า 4.8% ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อสำหรับสินค้าอาหาร เริ่มมีแนวโน้มการเติบโตที่ชะลอตัวลง

ธนาคารจีนได้ขยายสินเชื่อใหม่ที่มีมูลค่ากว่า 500,000 ล้านหยวนในเดือนตุลาคม ลดลงจาก 738,000 ล้านหยวนในปีก่อนหน้า ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการในการลงทุนใหม่ในโครงการต่างๆ ของเศรษฐกิจจีนที่ยังมีแนวโน้มต่ำลง นอกจากนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจต่างๆ สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการเติบโตที่อยากชะลอตัวลงภายในปีนี้ แม้ว่าจะมีมาตรการยาก็ต้องเศรษฐกิจทางการเงินเพิ่มเติมก็ตาม