งบประมาณพรรคแรงงานถูกวิจารณ์ ขณะที่ดอลลาร์พุ่งจากความกังวลสงครามการค้า

รัฐบาลพรรคแรงงานของสหราชอาณาจักร นำโดยนายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังราเชล รีฟส์ ได้เสนอร่างงบประมาณแรกในรอบ 14 ปี โดยกำหนดการขึ้นภาษีรวม 40 พันล้านปอนด์ ซึ่งรวมถึงการเพิ่มเงินสมทบประกันสังคมสำหรับภาคธุรกิจ 25 พันล้านปอนด์ รีฟส์ยืนยันต่อภาคธุรกิจว่าจะไม่มีการขึ้นภาษีเพิ่มเติมหรือการกู้ยืมใหม่ โดยมุ่งเน้นความมั่นคงและความแน่นอนในนโยบายการคลังในอนาคต

อย่างไรก็ตาม ผู้นำภาคธุรกิจ รวมถึงผู้แทนจากสมาพันธ์อุตสาหกรรมอังกฤษ (CBI) ได้วิจารณ์มาตรการนี้ โดยชี้ว่าเป็นภาระหนักต่อผู้ประกอบการและอาจลดความน่าสนใจในการลงทุน ขณะที่สหราชอาณาจักรยังคงเผชิญปัญหาด้านผลิตภาพและระดับการลงทุนที่ต่ำเมื่อเทียบกับประเทศเศรษฐกิจหลักอื่น ๆ โดยมีคำเตือนว่ามาตรการภาษีดังกล่าวอาจทำให้ความท้าทายทางเศรษฐกิจรุนแรงขึ้น

ทางด้านอัตราเงินเฟ้อที่ได้รับผลกระทบจากราคาพลังงานที่พุ่งสูงขึ้น เพิ่มขึ้นเป็น 2.3% ในเดือนตุลาคม สูงกว่าเป้าหมายของธนาคารแห่งอังกฤษ (BoE) ที่ 2% ขณะที่ธนาคารกลางตอบสนองอย่างระมัดระวังด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยเล็กน้อยลงเหลือ 4.75% เพื่อสมดุลกับความเสี่ยงของเงินเฟ้อที่อาจยืดเยื้อซึ่งได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของค่าจ้างที่แข็งแกร่ง

ทางด้านรองผู้ว่าการคลาร์ ลอมบาร์เดลลี เตือนถึงความจำเป็นในการปรับอัตราดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ก็ระบุถึงความเสี่ยงที่จะเกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจหากอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ยังคงสูงขึ้น แม้ว่ายอดค้าปลีกและการใช้จ่ายผู้บริโภคจะชะลอตัวลงหลังจากงบประมาณออกมา แต่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคกลับมีแนวโน้มดีขึ้นเล็กน้อย ซึ่งได้รับแรงหนุนจากความหวังในสถานการณ์การเมืองล่าสุด อย่างไรก็ตาม ค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นและรายได้สุทธิที่จำกัดยังคงเป็นปัญหาสำคัญสำหรับครัวเรือน โดยเฉพาะในช่วงก่อนเทศกาลปีใหม่

อย่างไรก็ดี ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ เช่น การเติบโตที่ชะลอตัวของธุรกิจใหม่และกิจกรรมค้าปลีกที่ซบเซา สะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่ยังคงมีอยู่ ขณะที่ความเห็นจากภาคธุรกิจสะท้อนความกังวลเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาล โดยผู้ประกอบการเตือนว่าการขึ้นภาษีเงินได้ในเดือนเมษายน 2024 อาจนำไปสู่การปลดพนักงานหรือลดการเติบโตของค่าจ้าง แม้จะมีอุปสรรคเหล่านี้ แต่บางภาคส่วน เช่น การผลิต คาดว่าจะฟื้นตัวได้ ขณะที่รัฐบาลพรรคแรงงานต้องเผชิญกับความท้าทายในการสร้างสมดุลระหว่างการเพิ่มการใช้จ่ายสาธารณะกับการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างแข็งแกร่ง ขณะเดียวกันก็ต้องรักษาข้อจำกัดทางการคลังและความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจ

อีกด้าน ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่น ๆ ในวันอังคาร หลังจากว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศแผนการกำหนดภาษีนำเข้าสินค้า 25% จากเม็กซิโก แคนาดา และจีน ซึ่งสร้างความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า ในการตอบสนองต่อข่าวดังกล่าว ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นกว่า 2% เมื่อเทียบกับเปโซเม็กซิโก แตะระดับสูงสุดในรอบ 4 ปีครึ่งเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา และทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 30 กรกฎาคมเมื่อเทียบกับเงินหยวนของจีน แม้ว่าสกุลเงินอื่น ๆ จะอ่อนค่าลงในช่วงแรก แต่ก็สามารถฟื้นตัวได้บ้างในช่วงปลายวัน การพุ่งขึ้นของค่าเงินดอลลาร์นี้เกิดขึ้นหลังจากที่ก่อนหน้านี้เผชิญแรงกดดัน เนื่องจากตลาดตราสารหนี้ของสหรัฐฯ ตอบรับในเชิงบวกต่อการที่ทรัมป์เสนอชื่อผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ สก็อตต์ เบสเซนต์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จึงอาจส่งผลให้คู่สกุล GBP/USD คาดว่าจะมีแนวโน้มซื้อขายขึ้นลงในกรอบปัจจุบันไปจนถึงกรอบล่างได้มากขึ้นอีกเล็กน้อยในช่วงนี้

ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิค (1D) CFD GBP/USD

แนวต้านสำคัญ : 1.2601, 1.2619, 1.2648

แนวรับสำคัญ : 1.2543, 1.2525, 1.2496                

1D Outlook

ที่มา: TradingView                                                        

Buy/Long 1 หากมีการแตะแนวรับที่ช่วงราคา 1.2503 - 1.2543 แต่ไม่สามารถเบรกแนวรับที่ 1.2543 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.2607 และ SL ที่ประมาณ 1.2483 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Buy/Long 2 หากสามารถเบรกแนวต้านที่ช่วงราคา 1.2601 - 1.2641 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.2683 และ SL ที่ประมาณ 1.2523 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้                 

Sell/Short 1 หากมีการแตะแนวต้านที่ช่วงราคา 1.2601 - 1.2641 แต่ไม่สามารถเบรกแนวต้าน 1.2601 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.2531 และ SL ที่ประมาณ 1.2661 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Sell/Short 2 หากสามารถเบรกแนวรับที่ช่วงราคา 1.2503 - 1.2543 ได้ อาจตั้ง TP ที่ประมาณ 1.2455 และ SL ที่ประมาณ 1.2621 หรือตามความเสี่ยงที่รับได้

Pivot Points Nov 26, 2024 04:18PM GMT+7