อัตราเงินเฟ้อของยูโรโซนเพิ่มขึ้นอีกครั้ง

ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงต่อเนื่อง โดยเป็นการอ่อนค่าลงภายใน 1 เดือนมากที่สุดในรอบ 1 ปี โดยล่วงลงประมาณ 3% ตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ เนื่องจากจะมีการเก็บภาษีสินค้านำเข้าเพิ่มมากขึ้น และการเติบโตที่อ่อนแอของยูโรโซน โดยกิจกรรมทั้งในภาคการผลิตและภาคบริการยังมีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน ยังมีความกังวลจากความไม่มั่นคงทางการเมืองในเยอรมนีและฝรั่งเศส ควบคู่ไปกับความคาดหวังของนักลงทุนต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในอนาคต

อย่างไรก็ตาม แรงกดดันที่ทำต่อค่าเงินยูโร ทำให้เงินยูโรกลายเป็นสกุลเงินในกลุ่ม G10 ที่อ่อนค่าลงมากที่สุด โดยมีการคาดการณ์จากนักลงทุนว่า ECB จะลดอัตราดอกเบี้ยลงต่อเนื่องและแรงกดดันจากการเคลื่อนภาษีของ ทรัมป์ ที่ส่งผลกระทบต่อค่าเงินของประเทศอื่นก็ตาม แต่ความกังวลเกี่ยวกับกิจกรรมทางธุรกิจที่ซบเซาและอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงในเยอรมนียังคงมีอยู่ แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อของยูโรโซนจะพุ่งสูงถึง 2.3% ในเดือนพฤศจิกายน แต่เงินเฟ้อพื้นฐานยังคงทรงตัวที่ 2.7% ซึ่งตอกย้ำความคาดหวังว่า ECB จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม แม้ว่าผู้กำหนดนโยบายจะมีความคิดเห็นแตกต่างกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วยังคงให้คำแนะนำว่าจะต้องมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง แต่จำเป็นที่จะต้องจับตาดูอัตราเงินเฟ้อที่อาจกลับมาเพิ่มขึ้นได้อีกครั้ง

ความเชื่อมั่นผู้บริโภคในยูโรโซนลดลง 1.2 จุดเหลือ -13.7 ในเดือนพฤศจิกายน ลดลงมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ -12.4 โดยดัชนีดังกล่าวยังคงอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในระยะยาว ซึ่งเกิดจากการที่ผู้บริโภคประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมและแนวโน้มการเงินของภาคครัวเรือนในอนาคตลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่อาจเพิ่มขึ้นได้อีกครั้งจากการขึ้นเป็น ประธานาธิบดีของ ดอนัลด์ ทรัมป์ และอัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับในอดีตที่ผ่านมา

การให้สินเชื่อแก่ภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้น 0.8% เมื่อเทียบเป็นรายปี โดยมีการเพิ่มขึ้นเป็นมูลค่ากว่า 6.907 ล้านล้านยูโรในเดือนตุลาคม และนับว่าเป็นการเร่งตัวขึ้นจาก 0.7% ในเดือนก่อนหน้า ถือเป็นอัตราการเติบโตของสินเชื่อที่เร็วที่สุดนับตั้งแต่ปี 2023 ในขณะเดียวกัน การให้สินเชื่อแก่บริษัทต่างๆ เพิ่มขึ้น 1.2% เพิ่มขึ้นเป็น 5.159 ล้านล้านยูโร ด้านการเติบโตของสินเชื่อภาคเอกชนโดยรวม ซึ่งครอบคลุมทั้งครัวเรือนและบริษัทที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน อยู่ที่ 1.6% ในเดือนตุลาคม โดยการเติบโตของสินเชื่อทั้งในภาคครัวเรือนและภาคเอกชนแสดงให้เห็นว่าความสามารถในการชำระหนี้ของทั้ง 2 กลุ่มยังคงมีแนวโน้มที่ดี

อัตราเงินเฟ้อรายปีในเขตยูโรโซนเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกันที่ 2.3% ในเดือนพฤศจิกายน จาก 2% ในเดือนตุลาคม ซึ่งตรงกับที่ตลาดคาดการณ์ไว้ การเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อในช่วงปลายปีนี้คาดว่าจะเกิดจากการเทียบจากปีก่อนหน้า เนื่องจากราคาพลังงานที่ลดลงอย่างรวดเร็วในปีที่แล้ว โดยในปัจจุบันราคาพลังงานลดลงไปกว่า 1.9% นอกจากนี้ ต้นทุนสินค้าอุตสาหกรรมที่ไม่ใช่พลังงานเพิ่มขึ้น 0.7% อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อในภาคบริการชะลอตัวลงเล็กน้อยที่ 3.9% ในขณะเดียวกัน อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมราคาอาหาร และพลังงานที่ผันผวน ยังคงส่งตัวอยู่ที่ 2.7% เท่ากับเดือนก่อนหน้า

ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของยูโรโซนเพิ่มขึ้น 0.1 จุดเป็น 95.8 ในเดือนพฤศจิกายน สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 95.1 โดยความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นนี้เกิดจากการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นในอุตสาหกรรมและยอดค้าปลีกที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากความสามารถในการใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้นของทั้งภาคเอกชนและภาคครัวเรือน อาจทำให้กำไรของบริษัทเพิ่มขึ้นตามไปด้วย แม้ว่าจะมีแรงกดดันด้านต้นทุนแรงงานและต้นทุนวัตถุดิบก็ตาม