เศรษฐกิจของอินเดียถูกกดดันจากอุปสงค์ภายในประเทศที่ชะลอตัวลง

เงินรูปีอินเดียอ่อนค่าลงเล็กน้อย เนื่องจากได้รับแรงกดดันจากการไหลออกของเงินทุนอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีใจคาดการณ์จากนั้นลงทุนว่าธนาคารกลางอินเดียจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง โดยอัตราเงินเฟ้อได้ลดลงเหลือ 5.5% ในเดือนพฤศจิกายนตามที่คาดไว้ และกลับมาสู่กรอบเป้าหมายของธนาคารกลางอีกครั้ง โดยไม่จ่ายค่าการว่าธนาคารกลางอินเดียจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในไตรมาตรที่ 3 ของปี 2025 ในขณะที่การเติบโตของ GDP เริ่มแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงและอุปสงค์ภายในประเทศที่ลดลงเช่นเดียวกัน

GDP ของอินเดียขยายตัว 5.4% จากปีก่อนในไตรมาสที่ 3 ชะลอตัวลงจากการขยายตัว 6.7% ในไตรมาสก่อนหน้าและต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ว่าจะเติบโต 6.5% อย่างมาก โดยถือเป็นการเติบโตที่ช้าที่สุดนับตั้งแต่ปี 2022 การลดลงดังกล่าวทำให้โมเมนตัมที่แสดงให้เห็นถึงการเติบโตอย่างรวดเร็วของอินเดียกลับมามีอัตราการเติบโตที่ชะลอตัวลง หลังจากที่ได้เป็นประเทศเศรษฐกิจหลักที่เติบโตเร็วที่สุดในโลกมาเป็นเวลานาน โดยแรงกดดันที่เกิดขึ้นเกิดจากผลผลิตที่สามารถทำได้ลดลงในภาคการผลิตที่ 2.2% เทียบกับ 7% ในไตรมาสที่ 3 อย่างไรก็ตาม การเติบโตที่แข็งแกร่งของภาคการเกษตร ทำให้อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องได้รับผลกระทบในเชิงบวกตามไปด้วย

ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 6.5% นับว่าเป็นการคงอัตราดอกครั้งที่ 11 ติดต่อกันในการประชุมเดือนธันวาคม โดยนโยบายดังกล่าวสอดคล้องกับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ในขณะเดียวกันธนาคารกลางด้วยรถอัตราส่วนเงินสดสำรอง (CRR) ลง 50 bps เหลือ 4% นับเป็นการปรับลดลงครั้งแรกตั้งแต่ปี 2020 โดยหวังว่าจะกระตุ้นสภาพคล่องภายในระบบเศรษฐกิจให้เพิ่มมากขึ้นก่อนที่จะมีการนำเงินทุนบางส่วนเพื่อจ่ายภาษีล่วงหน้า

ธนาคารอินเดียได้มีการคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจในปีหน้าว่า GDP จะขยายตัวอยู่ที่ 6.6% ในขณะที่มีการคาดการณ์ว่าตราเงินเฟ้อที่อยู่ที่ 4.8% เครื่องสูงกว่าที่คาดไว้ในช่วงก่อนหน้าที่ 4.5% เนื่องจากอาจมีนโยบายที่ช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากผู้ว่าการ Shaktikanta Das เนื่องจากวาระการดำรงตำแหน่งของเขาจะสิ้นสุดลงในช่วงปลายเดือนนี้

PMI ภาคการผลิตในอินเดียพุ่งขึ้นแตะระดับ 57.4 ในเดือนธันวาคม จากระดับ 56.5 ในเดือนพฤศจิกายน ตัวเลขดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงกิจกรรมของภาคการผลิตในช่วงท้ายปีได้เป็นอย่างดี โดยได้รับแรงสนับสนุนจากคำสั่งซื้อใหม่และคำสั่งซื้อส่งออกที่เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้บริษัทต่างๆ เพิ่มจำนวนพนักงาน และทำให้ระดับการจ้างงานเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ นอกจากนี้ ความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นยังช่วยลดสต๊อกสินค้าโดยรวม แล้วทำให้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ด้าน PMI ภาคบริการเพิ่มขึ้นแตะระดับ 60.8 ในเดือนธันวาคม จากระดับ 58.4 ในเดือนก่อนหน้า นวเป็นการเติบโตของกิจกรรมในภาคการบริการ 41 เดือนติดต่อกัน และนับว่าเป็นการเติบโตที่เร็วที่สุดตั้งแต่เดือนสิงหาคม โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเห็นได้จากคำสั่งซื้อใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้บริษัทต่างๆจำเป็นต้องจ้างพนักงานเพิ่มเพื่อรองรับกับจำนวนงานที่เพิ่มมากขึ้นและถือเป็นการเพิ่มโอกาสสำหรับการขยายตัวไปยังธุรกิจอื่นๆ อย่างไรก็ตามปัญหาด้านต้นทุนวัตถุดิบยังคงมีอยู่ แต่ยอดขายเพิ่มมากขึ้นได้ช่วยให้บริษัทต่างๆสามารถทำกำไรได้มากขึ้นเช่นเดียวกัน