รัสเซียคงถูกกดดันจากอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น

ค่าเงินรูเบิลรัสเซียทรงตัวอยู่ที่ 104 ต่อดอลลาร์สหรัฐ หลังจากแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากการคงอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางรัสเซียที่ 21% แม้ว่าจะมีความกังวลเกี่ยวกับการคาดการณ์เงินเฟ้อที่สูงขึ้นสำหรับผู้บริโภคและภาคธุรกิจก็ตาม อย่างไรก็ตามสงครามการค้าที่เกิดขึ้น รวมไปถึงอุปสงค์จากจีนที่ชะลอตัวลงยังคงสร้างแรงกดดันต่อค่าเงินรูเบิลโดยตรง แม้ว่าการอ่อนค่าของเงินรูเบิลจะทำให้การนำเข้าสินค้าต่างๆมีราคาแพงขึ้น แต่การส่งออกของรัสเซียซึ่งเป็นหัวใจหลักของประเทศยังคงได้รับผลประโยชน์อยู่ โดยค่าเงินที่อ่อนค่าจะทำให้กำไรของบริษัทภายในประเทศเพิ่มขึ้นด้วย

ธนาคารกลางรัสเซียคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 21% ในการประชุมเดือนธันวาคม โดยตลาดคาดการณ์ไว้ว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย 200bps เป็น 23% การตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากมีรายงานว่ากิจกรรมสินเชื่อยังคงอยู่ในระดับต่ำ ทำให้เป็นเหตุผลสำคัญในการหยุดการขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่ยังคงให้ความเห็นว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะเพิ่มขึ้นต่อไป ส่งผลให้คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อของธนาคารกลางในปี 2025 และ 2026 สูงขึ้น นอกจากนี้ ธนาคารกลางยังตั้งข้อสังเกตว่าการอ่อนค่าของรูเบิลอ, การใช้จ่ายงบประมาณที่ไม่สมดุล และวิกฤตแรงงานที่ยังคงดำเนินอยู่ ต่างมีส่วนทำให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น 

GDP ของรัสเซียขยายตัว 3.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนในไตรมาสที่ 3 ของปี 2024 ซึ่งเป็นการขยายตัวที่ช้าที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2023 ท่ามกลางผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจของรัสเซียซึ่งเกิดจากการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกหลังจากการรุกรานยูเครน การชะลอตัวนี้ยังเกิดจากความต้องการสินค้าที่ลดลงในจีน ซึ่งเป็นคู้ค้าสำคัญสำหรับการส่งออกสินค้ารายใหญ่ที่สุดของรัสเซีย เนื่องจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงและภาวะเงินฝืดที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม GDP ที่ขยายตัวนี้สูงกว่าที่กระทรวงการคลังคาดการณ์ว่าจะขยายตัว 2.9% และต่ำกว่าที่ธนาคารกลางคาดการณ์ว่าจะเติบโต 3.2% เล็กน้อยเท่านั้น

อัตราเงินเฟ้อของรัสเซียพุ่งขึ้นแตะ 8.9% ในเดือนพฤศจิกายน จากระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือนที่ 8.5% ในเดือนก่อนหน้า สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 8.7% โดยราคาสินค้าส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในภาคบริการ รวมไปถึงราคาอาหาร, ผัก และผลไม้ ในขณะเดียวกัน ราคาผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่อาหารยังคงทรงตัวอยู่ที่ 5.7% แสดงให้เห็นถึงอุปสงค์ภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากมีมาตรการสนับสนุนจากทางรัฐบาลที่ได้อัดฉีดเงินจำนวนมหาศาล เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่อาจชะลอตัวหลังจากการระดมพลทางการทหาร

Composite PMI เพิ่มขึ้นเป็น 52.6 ในเดือนพฤศจิกายน จาก 50.9 ในเดือนก่อนหน้า นับเป็นการขยายตัวเร็วที่สุดตั้งแต่เดือนมีนาคม นอกจากนี้ยังเป็นการเติบโตของกิจกรรมภาคเอกชน 2 เดือนติดต่อกัน ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับแรงหนุนจากทั้งภาคการผลิตและภาคบริการ โดยคำสั่งซื้อใหม่เพิ่มขึ้นสูงที่สุดตั้งแต่เดือนเมษายน โดยเฉพาะในภาคการผลิตที่มีแนวโน้มกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ในขณะเดียวกัน ธุรกิจเกิดใหม่ในภาคการบริการยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลให้การจ้างงานยังคงอยู่ในระดับสูงโดยเฉพาะภาคการบริการ ในขณะที่ภาคการผลิตได้ลดจำนวนพนักงานลงเล็กน้อยเพื่อให้สอดคล้องกับปริมาณงาน อย่างไรก็ตาม ต้นทุนการผลิตยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องส่งผลให้บริษัทต่างๆจำเป็นต้องส่งผ่านต้นทุนมายังสินค้ามากยิ่งขึ้น

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของรัสเซียอายุ 10 ปี กลับมามีผลตอบแทนอยู่ที่ระดับสูงกว่า 16% ในเดือนธันวาคม โดยอยู่ที่ 370 bps ซึ่งถือว่าทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงต้นปี ท่ามกลางอุปทานพันธบัตรรัฐบาลที่ล้นตลาด และความต้องการสินทรัพย์ของรัสเซียที่ลดลง เนื่องจากมาตรการคว่ำบาตร และธนาคารกลางรัสเซียมีแนวโน้มที่จะใช้นโยบายทางการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น โดยนักลงทุนยังคงใช้เงินเฟ้อของรัสเซียที่เพิ่มขึ้นในปีนี้เป็นมาตรวัดสำคัญเพื่อประเมินแนวโน้วอัตราดอกเบี้ยในระยะสั้น